ทีมชาติไทยเปิดตัวชุดแข่งขันใหม่จาก วอริกซ์ ที่จะใช้แข่งขันในศึก คิงส์คัพ ครั้งที่ 46 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าชุดใหม่นี้ จะเข้าไปอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลไทยอีกชุดหนึ่ง ด้วยสไตล์การออกแบบที่เรียบหรู และมีลักษณะพิเศษคือสามารถสวมใส่ได้ทั้งสองด้าน ถือว่าเป็นรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาได้อย่างน่าสนใจ ที่ผ่านมาทีมชาติไทย และนี่คือ ชุดเกราะของช้างศึกที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลที่ผ่านมา
กด NEXT เพื่อร่วมติดตามไปกับเรา
ชุด 100 ปี แกรนด์สปอร์ต
ชุดแข่งขันแบบพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีฟุตบอลไทย ด้วยการทำชุดแข่งขันที่ใช่ตราพระมหามงกุฏเป็นสัญลักษณ์ ที่หน้าอกเสื้อด้านซ้ายแทนโลโก้ช้างศึก เพื่อใช้ในการแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพครั้งที่ 44 ซึ่งทีมชาติไทยคว้าแชมป์มาครองได้ โดยเสื้อ 100 ปีทีมชาติไทย ชุดดังกล่าวใช้ลายย้อนยุคแดงสลับขาว และผลิตออกมา 2 แบบ
แบบแรกคือแบบเกรดเพลย์เยอร์ มาพร้อมกับกล่องบ็อกซ์เซตสวยงาม และอีกแบบคือเกรดของแฟนบอล ซึ่งมีลวดลายเหมือนกัน แต่ใช้เนื้อผ้าคนละอย่าง และไม่มีกล่องมาให้ แต่ว่าเสื้อทั้งสองแบบก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนถูกแฟนบอลจับจองจนหมดไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่วางขาย กลายเป็นของสะสมชั้นดี ถือว่าเป็นชุดฟุตบอลไทยที่สร้างปรากฏการณ์ได้ไม่น้อย แม้ว่าจะใช้งานลงแข่งขันแค่ 1 ทัวร์นาเม้นท์ เท่านั้น
ชุดวอริกซ์สีดำ
หลังจากที่หมดสมัยของนายกสมาคมฟุตบอลชุดเก่า การเข้ามาของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นำเอาความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายมหาศาลเข้ามาสู่วงการฟุตบอลไทย และหนึ่งในนั้นคือ ผู้สนับสนุนด้านชุดแข่งขันรายใหม่อย่าง วอริกซ์ ที่ตัดสินใจทุ่มเงินประมูลสิทธิในการดูแลชุดแข่งขันของทีมชาติไทย ด้วยมูลค่า รวมทั้งสิ้น 400 ล้านบาท แบ่งเป็นปีละ 100 ล้านบาท (เงินสด 40 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ 60 ล้านบาท) เอาชนะเจ้าของสิทธิ์รายเก่า
ซึ่งก่อนหน้านี้ วอริกซ์ ถือว่าเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว และมีผลงานทำชุดแข่งขันให้กับสุพรรณบุรี เอฟซี มาก่อนเท่านั้น ซึ่งชุดทีมชาติของ วาริกซ์ ที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลแน่นอนย่อมหนีไม่พ้นชุดแข่งขันสีดำชุดแรกในประวัติศาสตร์ทีมชาติไทย ที่มีชุดเหย้าสีดำ และชุดเยือนสีขาวภายใต้คอนเซ็ปต์ “นักรบคนที่ 12” ไชยานุภาพ(ดำเหย้า) และ ปราบไตรจักร(ขาวเยือน) ทำออกมา 3 เกรด คือ เสื้อเชียร์ราคา 390 บาท เสื้อแข่งเกรดแฟนบอล 890 บาท และ เสื้อแข่งเกรดนักเตะ 1990 บาท โดยมีชุดเยือนเป็นสีขาวเนื่องจากชุดแข่งขันได้ออกมาในช่วงไว้อาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งชุดแข่งขันชุดนี้มีจุดเด่นที่เนื้อผ้า ด้านหลังมีตราพระมหามงกุฏ
ไนกี้ลายธงชาติ
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทีมชาติไทย ใช้ผู้สนับสนุนจากประเทศไทย ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ระดับโลก ในปี 2007 ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 60 ปี ทำให้ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองซึ่งตรงกับวันพระราชสมภพ และทางไนกี้ได้ผลิตชุดแข่งสีเหลืองที่เอมาเอาใจแฟนบอลชาวไทยด้วยชุดเหย้าเป็นสีเหลืองแต่ในตอนแรกที่ไนกี้ ออกแบบมาอาจจะไม่ถูกใจแฟนบอลเพราะความที่เรียบเกินไปและไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก
จนกระทั่งรุ่นสุดท้ายก่อนที่จะหมดสัญญา ไนกี้ ได้ออกแบบชุดแข่งขันสีเหลืองมีลายธงชาติไทย พาดผ่านหน้าอก ในรายละเอียดจัดเต็ม มีคำว่า “ไชโย” ด้านในตัวเสื้อ ด้านหลังโลโก้ช้าง ซึ่งคำว่า “ไชโย” เป็นคำที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตรัสขึ้นระหว่างทอดพระเนตรเกมการแข่งขันนัดแรกระหว่างทีมชาติไทยกับทีมรวม ชาวต่างชาติ ณ ราชกรีฑาสโมสร ซึ่งทีมไทยเป็นฝ่ายชนะด้วยสกอร์ 2 – 1 บริเวณคอเสื้อด้านในได้มีการอัญเชิญ สัญลักษณ์ “ชฎา” ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์แรกของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ใน พระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ รวมทั้งเป็นเครื่องเตือนใจในการไขว่คว้าความสำเร็จในฐานะทีมชาติไทย
ซึ่งรุ่นดังกล่าวถือว่าเป็นรุ่นยอดนิยม และดังเป็นพลุแตกไปใหญ่ เมื่อ “ตูน บอดี้สแลม” ใส่เล่นคอนเสิร์ต Live in คราม ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ยิ่งเพิ่มความนิยมให้กับเสื้อรุ่นนี้ จนกลายเป็นของหายากของแฟนบอลทันทีเรียกได้ว่าเป็นรุ่นในตำนานอีกรุ่นของทีมชาติไทย โดยมีชุดเหย้าสีน้ำเงิน ที่ธีรศิลป์ แดงดา สวมยิงมาร์ค ชวาร์เซอร์ นายทวารทีมชาติออรเตรเลีย ในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
แกรนด์สปอร์ตคอกลม
ถือว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับกีฬาไทยมาอย่างยาวนานอีกแบรนด์หนึ่งสำหรับ แกรนด์สปอร์ต และในปี 2012 แบรนด์ดังของไทยได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนชุดแข่งขันให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และได้ออกแบบชุดแข่งขัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “วิคตอรี่-ฮาร์โมนี่” ( Victory-harmony) หรือ ชัยชนะจากความสามัคคี มี 2 สีหลักคือ แดง และ น้ำเงิน ออกแบบภายใต้แนวคิดชัยชนะของชาวไทยโดยมีลวดลายคล้ายรูปตัว V พาดระหว่างกลางเสื้อ มีขลิบสีทองตรงคอเสื้อ และ แขน ส่วนหัวไหล่ด้านขวา มี "ตราพระมหามงกุฎ" ที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระราชทานแด่ทีมฟุตบอลสยามประเทศ ประทับอยู่บนเนื้อผ้าที่เป็นลายไทยเอกลักษณ์ของแกรนด์สปอร์ต ซึ่งแตกต่างจากเนื้อผ้าพื้นหลัก นอกจากนี้ด้านหลังเสื้อยังมี ธงชาติไทย อยู่บริเวณคอ และด้านในปักข้อความว่า “ทีมชาติไทย” ถัดลงมาเป็นข้อจากเพลงชาติไทยท่อนที่ว่า “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ตามคอนเซ็ปต์การออกแบบที่เน้นความสามัคคีซึ่งจะนำพาไปสู่ชัยชนะ ถือว่าเป็นชุดแข่งขันที่ดูภายนอกเรียบๆ แต่มีรายละเอียดในส่วนอื่นๆอยู่เยอะ แต่น่าเสียดายที่ทีมชาติไทย ไม่สามารถสวมชุดนี้คว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ในปี 2012 ได้เพราะนัดชิงชนะเลิศพ่ายให้กับ สิงคโปร์
ลายแผนที่ประเทศไทย
หนึ่งในชุดทีมชาติไทยที่แฟนบอลไทย จดจำได้มากที่สุดอีกหนึ่งชุดด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีลายแผนที่ประเทศไทยอยู่กลางหน้าอก มีธงชาติไทยเป็นริ้วๆที่แขนทั้ง 2 นำมาใช้ครั้งแรกใน รายการคิงส์คัพ ปี 1998 มี 2 สี คือ แดง และ น้ำเงิน ซึ่งในตอนที่ทีมชาติไทยสวมเสื้อชุดนี้ มีเหตุการณ์สำคัญๆเกิดขึ้นภายใต้ชุดนี้ ทั้งลูกไขว้บรรลือโลก ของ "เดอะตุ๊ก" ที่ยิงนัดเจอกับโรมาเนีย ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ เป็นลายที่ทีมชาติใช้ในหลายรายการมาก ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปีชิงแชมป์โลกที่ประเทศอียิปต์ ปี 1998 ถือว่าเป็นชุดแข่งมีความแปลกตาในยุคนั้น และคนที่ออกแบบกล้าที่จะคิดที่จะทำ ในเอกลักษณ์ความเป็นไทย แสดงออกมาผ่านทางแผนที่ประเทศไทยเป็นด้ามขวาน และทุกวันนี้แฟนบอลยังคงโหยหาอยู่จนทำให้ แกรนด์สปอร์ต ตัดสินใจรีเมค ชุดดังกล่าวมาให้แฟนบอลได้สะสมอีกครั้ง ในชื่อรุ่น “ศักดิ์ศรีปฐพีไทย”ตำนานแห่งศักดิ์ศรีฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นชุดที่อยู่ในยุคที่ผสมผสานตัวเก๋าระดับตำนาน และสายเลือดใหม่รุ่นดรีมทีม