เข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคมที่ถือว่าเป็นโค้งสุดท้ายของฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก 2017 เพราะจากนี้จะเหลือเกมการแข่งขันอีกเพียง 5 นัดเท่านั้น ซึ่งหลายสโมสรในกลุ่มหัวตารางต่างก็มีโอกาสจบอันดับทั้งการลุ้นแชมป์ และทำอันดับเกาะกลุ่มบนลุ้นพื้นที่ลุยฟุตบอลเอเชียอย่างเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีกชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
ในขณะที่โซนตกชั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ายังเหลือโควตาอีก 2 ทีมที่จะร่วงสู่เวทีลีกรองตามซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ ซึ่งหลายทีมในโซนล่างต่างก็มีเป้าหมายเก็บแต้มในแต่ละนัดให้มากที่สุด และนี่คือประเด็นน่าจับตาในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2017 จากอันดับตารางคะแนน โปรแกรมการแข่งขัน โอกาส รวมทั้งความป็นไปได้ของแต่ละทีม
กดที่ลูกศรมุมขวาเพื่ออ่านหัวข้อถัดไป
1.บุรีรัมย์-เมืองทอง สองทีมลุ้นแย่งแชมป์ลีก
หากมองไปยังอันดับตารางคะแนนหลังผ่านเกมนัดที่ 29 จะเห็นว่าสถานการณ์ของทีมลุ้นแชมป์เหลือเพียงบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จ่าฝูง (71 คะแนน) และเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (65 คะแนน) ทีมอันดับ 2 เท่านั้น ซึ่งโปรแกรม 5 นัดที่เหลือต่อจากนี้ทั้งสองทีมก็ไม่ได้มีใครถือไพ่เหนือกว่ากัน บุรีรัมย์จะได้เล่นในไอโมบาย สเตเดียมอีก 2 นัด รับมือสุโขทัย เอฟซี รวมถึงบีอีซี เทโร ศาสน และจะออกไปเยือนสุพรรณบุรี, แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่พวกเขาเคยชนะมาแบบหืดจับ 2-1 ก่อนจะเล่นเกมท้ายกับชลบุรี เอฟซี ที่เคยทำแสบยันเจ๊าในเวลา 90 นาที 1-1 ของศึกโตโยต้าลีกคัพ รอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ชลบุรีสเตเดียมมาแล้ว
ทางฝั่งกิเลนผยองก็ไม่ได้มีโปรแกรมการแข่งที่เบากว่าทีมจากอีสานใต้ โดยทีมของธชตวัน ศรีปาน มีคิวลงเตะในบ้านที่เอสซีจี สเตเดียม 2 แมตช์ รับมือไทยฮอนด้า ลาดกระบังฯ รวมถึงเล่นนัดสุดท้ายรับการมาเยือนของบางกอกกล๊าส เอฟซี ส่วนเกมเยือนพวกเขาจะต้องพบกับทั้งการท่าเรือ เอฟซี และอุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด ที่เคยแพ้มาก่อนในเลกแรก 2-3 รวมถึงบุกแดนล้านนาพบเชียงราย ยูไนเต็ด ที่หวังทำอันดับจบหัวตารางเช่นกัน
ด้านทีมอันดับ 3 อย่างแบงค็อก ยูไนเต็ด มีอยู่ 59 คะแนน ซึ่งหากเทียบโปรแกรมที่เหลืออีกเพียง 5 นัด ก็ไม่น่าจะทำแต้มไล่ทัน เพราะเงื่อนไขของแข้งเทพนอกจากจะต้องชนะให้ได้ทุกนัด พวกเขายังต้องมาลุ้นให้ทั้งปราสาทสายฟ้าและกิเลนผยองสะดุดขาตัวเองให้มากที่สุด ทำให้โอกาสมากสุดของทีมคือจบในอันดับรองแชมป์และพยายามรักษาอันดับ 3 ไว้ให้ได้
2.โอกาสเปิดกว้างสำหรับอันดับสาม
ขณะที่การจบตารางคะแนนในอันดับสาม ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่อาจลุ้นถึงเกมนัดสุดท้าย เพราะมีหลายสโมสรลุ้นทำคะแนนเพื่อจบอันดับนี้ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อโควตาลุยฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือกรอบ 2 ในฤดูกาลหน้า (ในกรณีที่ทีมอันดับหนึ่งและสองซิวแชมป์เอฟเอ คัพ) ซึ่ง ณ ตอนนี้มี แบงค็อก ยูไนเต็ด, เชียงราย ยูไนเต็ด, บางกอกกล๊าส เอฟซี หรือแม้แต่ชลบุรี เอฟซี ร่วมลุ้นจบในพื้นที่ดังกล่าว
ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าในทางทฤษฎีพลพรรคแข้งเทพยังมีลุ้นทำอันดับจบเหนือกว่าที่สาม แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขาจำเป็นจะต้องรักษาพื้นที่ดังกล่าวให้ได้เป็นอย่างน้อย โดยโปรแกรมที่เหลือต่อจากนี้ ทีมของมาโน โพลกิ้ง มีคิวเตะในบ้าน 2 แมตช์กับทีมแกร่งอย่างราชบุรี มิตรผล เอฟซีและจ่าฝูงอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่กับเกมเยือนอีก 3 นัด ถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างจะเบากว่าทีมแย่งที่สาม โดยแข้งเทพมีโปรแกรมเยือนศรีสะเกษ เอฟซี, สุพรรณบุรี เอฟซี และราชนาวี เอฟซี ซึ่งหากแกนรุกคนสำคัญของทีมทั้งดราแกน บอสโควิช และมาริโอ ยูรอฟสกียังคงรักษามาตรฐานกระซวกประตูคู่แข่งต่อเนื่อง พวกเขาถือเป็นทีมที่มีสถานการณ์ดีที่สุด
เชียงราย ยูไนเต็ดก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งทีมหัวตารางของไทยลีกหลังจากทุ่มงบประมาณมหาศาลล่าแข้งดังมาสู่ทีม อีกทั้งยังมีอเล็กซานเดร กามาที่เคยพาบุรีรัมย์กวาดแชมป์เป็นว่าเล่นลงคุมทีมข้างสนาม ซึ่งจากอันดับในปัจจุบันหลังผ่าน 29 เกม ตัวแทนแดนเหนือรั้งอยู่ที่ 4 ของตาราง มีแต้มตามแบงค็อกอยู่ 7 คะแนน สำหรับ 5 เกมที่เหลือพวกเขามีโปรแกรมเจอทีมแกร่งในการเตะทีมเหย้าที่ยูไนเต็ด สเตเดียมทั้งชลบุรี เอฟซี และเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ส่วนที่เหลือ กว่างโซ้งมหาภัยจะรับมือพัทยา ยูไนเต็ด, นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี และซุปเปอร์ พาวเวอร์ที่ตกชั้นไปแล้ว
ส่วนบีจี (52 แต้มเท่าเชียงราย) ที่ยังคงไร้ความสำเร็จบนเวทีลีกสูงสุดของไทยนับตั้งแต่ที่เปลี่ยนชื่อจากธนาคารกรุงไทยจะได้เล่นเป็นเจ้าบ้าน 2 นัดเช่นกัน แบ่งเป็นการดวลกับบีอีซี เทโร ศาสน และพัทยา ยูไนเต็ด (โยกไปเล่นที่สนามธูปะเตมีย์) ด้านเกมเยือนทีมของโค้ชง้วนจะเจอกับชลบุรี เอฟซี, นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี และปิดท้ายกับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ปิดท้ายที่ชลบุรี เอฟซี ที่ยังมีลุ้นเล็กๆกับการจบอันดับสาม จากผลงาน 49 คะแนนจาก 29 เกม (ตามแบงค็อกอยู่ 10 คะแนน) แน่นอนว่าลูกทีมของเทิดศักดิ์ ใจมั่น จะเดินหน้าเก็บ 3 แต้มอย่างเดียวไม่พอ เพราะพวกเขาจะต้องลุ้นให้ 3 ทีมก่อนหน้าพลาดคว้าชัยชนะให้มากที่สุด สำหรับโปรแกรมที่เหลือจากนี้ ฉลามชลได้เปรียบตรงที่จะได้เล่นในชลบุรี สเตเดียม 3 นัด ประกอบด้วยบางกอกกล๊าส เอฟซี, บีอีซีเทโร ศาสน และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ส่วนเกมเยือนจะพบกับเชียงราย ยูไนเต็ดและสุโขทัย เอฟซี แน่นอนว่าหากพลาดเก็บ 3 แต้มในนัดใดนัดหนึ่ง โอกาสลุ้นที่สามก็แทบจะดับลงทันที
3.โซนตกชั้นหนีตายกันสนุก
ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ เอฟซี คือทีมแรกที่หล่นชั้นไปยัง T2 เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังทำสถิติแพ้ติดต่อกัน 27 นัด ทำลายสถิติเสียประตูมากสุดตลอดกาลไทยลีก ที่117 ประตูจาก 29 นัด ส่วนทีมที่เหลือซึ่งอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงจากการมีแต้มแถวบริเวณโซนแดงมีทั้งไทยฮอนด้า ลาดกระบัง เอฟซี, ศรีสะเกษ เอฟซี รวมทั้ง สุโขทัย เอฟซี
อินทรีอัคนี เป็นทีมที่เสี่ยงต่อโอกาสนี้มากที่สุด ซึ่งจากสถานการณ์ล่าสุด พวกเขาเก็บได้เพียง 20 คะแนนจาก 29 เกม ตามหลังสุโขทัย เอฟซี อันดับ 15 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายที่จะรอดตกชั้นอยู่ 10 คะแนน ในขณะที่เหลือโปรแกรมลงเตะอีกเพียง 5 เกม แน่นอนว่านับจากนี้ หากพวกเขายังไม่สามารถเก็บชัยภายใน 1-2 เกมทั้งการเจอเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดและซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ ซึ่งหากสุโขทัย เอฟซี มีแต้มต่อจากนี้อย่างน้อย 5 คะแนน ไทยฮอนด้าก็จะร่วงลงไปยังลีกรองต่อจากเดอะ พาวเวอร์
ศรีสะเกษเป็นอีกหนึ่งทีมที่สถานการณ์ลุ้นเหนื่อยนัดต่อนัด ปัจจุบันพวกเขามี 23 คะแนน ตามค้างคาวไฟอยู่ 7 แต้ม โดยโปรแกรมนัดที่เหลือ ถือเป็นงานท้าทายเหล่าแข้งกูปรีอันตรายภายใต้การทำทีมของเฉลิมวุฒิ สง่าพล เพราะพวกเขาจะมีคิวเจอทีมโซนตกชั้นด้วยกันทั้งราชนาวี รวมถึงไทยฮอนด้า และมีโปรแกรมดวลหัวตารางหนักเพียง 1 นัด คือเกมเปิดบ้านพบแบงค็อก ยูไนเต็ด
ด้านค้างคาวไฟของโค้ชเบ๊ ในทางทฤษฎีถือว่ามีภาษีดีกว่าทั้งสองทีมก่อนหน้า เพราะหากเก็บได้อย่างน้อย 9 คะแนนจาก 5 นัดที่เหลือ พวกเขาจะส่งทั้งกูปรีอันตรายและอินทรีอัคนีร่วงสู่ลีกรองทันที อย่างไรก็ดี จากโปรแกรมที่เหลือ ยอดทีมจากภาคเหนือตอนล่างเจอโปรแกรมหนักพอสมควร เพราะจะต้องเล่นเป็นทีมเยือน 4 จาก 5 เกม รวมถึงมีคิวเจอทีมแข็งทั้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (เยือน), บีอีซี เทโร ศาสน (เยือน) และ ชลบุรี เอฟซี (เหย้า)
ส่วนทีมที่อันดับเหนือกว่าสุโขทัยอย่างราชนาวี, นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี รวมถึงบีอีซี เทโร ศาสน หากเก็บได้อยางน้อยทีมละ 4-5 แต้มในเกมที่เหลือ ก็จะการันตีอยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุดทันที