ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอล ซูซูกิคัพ 2018 เป็นที่เรียบร้อยหลังเปิดบ้านสอนบอลทีมชาติสิงคโปร์ที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง 3-0 ยิงไปกว่า 15 ใน 4 เกมที่ลงสนาม ทำลายสถิติประตูรวมในรอบแบ่งกลุ่มมากที่สุดในรอบ 22 ปีของทีมชาติไทย และนี่คือ 5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากเกมส่งท้ายกลุ่ม บี ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน
ตัวสำรองสร้างความแตกต่างได้
นอกจาก มานูเอล เบียร์ ที่ถอนตัวไปด้วยอาการบาดเจ็บ เราแทบไม่เห็น ราเยวัช เปลี่ยนแผงแบ็คโฟร์เลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ เมื่อได้เห็น มิก้า ชูนวลศรี ออกสตาร์ทตัวจริงในตำแหน่งแบ็คขวา
ตัวรับ “แข้งเทพ” ประเดิมรายการ ซูซูกิคัพ ได้ดี ปราศจากข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งที่เป็นเพียงแมตช์ทางการเกมที่ 3 ของเขาในนามทีมชาติเท่านั้นเอง ซึ่งการที่นักเตะแต่ละคนสามารถลงมาทดแทนกันได้ตามรายละเอียดแทคติกที่เปลี่ยนไปแสดงถึงคุณภาพและตัวเลือกผู้เล่นอันล้นหลามในทีม อีกทั้งการที่รูปเกมโดยรวมไม่มีสดุดเลยเมื่อส่งตัวสำรองลงสนามยังโชว์ว่าผู้เล่นแต่ละคนเข้าใจปรัชญาของ มิโลวาน ราเยวัช ได้ลึกซึ้งแล้วพอสมควร
นอกจาก มิก้า เรายังได้เห็น 3 ตัวสำรองอย่าง ปกเกล้า อนันต์, ฟิลิป โรลเลอร์ และ ปกรณ์ เปรมภักดิ์ มีเกมที่ดี โดยเฉพาะรายหลังที่ถึงแม้จะลงมาในช่วงทดเจ็บ แต่ก็ยังมีจังหวะจ่ายคิลเลอร์พาสจนเกือบเป็นแอสซิสต์ตั้งแต่สัมผัสบอลครั้งแรก
การยึดมั่นกับแผงแบ็คโฟร์ที่ลงตัวบอกเราว่าโค้ช ราเยวัช ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องเป็นที่สุด แต่เราก็เห็นหลายๆ ครั้งว่าเขาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง เชื่อได้เลยว่ากุนซือช้างศึกคงพอใจไม่น้อยที่ได้เห็นขุมกำลังสำรองลงมาสร้างความแตกต่างได้ทันทีที่ได้รับโอกาส เท่ากับ ราเยวัช สามารถสลับสับเปลี่ยนผู้เล่นตามแทคติกได้โดยไม่ต้องกังวล
ทีมชาติไทยเวอร์ชั่นปิดเกมเป็น
ธรรมชาติของคนไทย เราเป็นชาติที่ชื่นชอบฟุตบอลเกมรุกและมักเชิดชูผู้เล่นทักษะดี พรสวรรค์เลิศเป็นพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เรามักมีปัญหาเมื่อต้องปิดเกมในแมตช์สำคัญๆ และบ่อยครั้งที่เราเสียประตูโดยใช่เหตุ จนทำให้บางทีตกรอบหรือพลาดแชมป์ไป
ยกตัวอย่างรอบชิง ซูซูกิคัพ ปี 2007 ระหว่าง ไทย กับ สิงคโปร์ ซึ่งเราแพ้นัดแรก 2-1 แบบน่าเจ็บใจด้วยจุดโทษ (แบบค้านสายตาสุดๆ) ในนาทีที่ 83 ก่อนที่ 4 วันต่อมาเราจะเสียท่าอีหรอบเดิม ปิดเกมไม่ได้ ถูก ไครูล อัมรี ตัวรุกทีมชาติสิงคโปร์ ส่องไกลตีเสมอ 1-1 ให้ทัพ "เมอร์ไลออน" ซิวแชมป์อาเซียน ไปด้วยผลประตูรวม 3-2 ทั้งๆ ที่หากเรายันเสมอได้อีกแค่ 9 นาทีก็แชมป์แล้ว
เพราะฉะนั้นการที่เราได้เห็นทีมชาติไทยภายใต้ยุค ราเยวัช ปิดเกมสนิทเมื่อนำห่าง 2-0 จึงเป็นอะไรที่ชื่นใจไม่น้อย โดยโค้ชชาวเซอร์เบียไม่รอช้า รีบถอด นูรูล ศรียานเก็ม ที่โดนเตะตลอดเกมไปเก็บตั้งแต่ช่วงพักครึ่ง และปรับมาตั้งรับ รอสวนกลับเน้นผลการแข่งขันแบบเต็มตัวในครึ่งหลัง ถือเป็นมิติใหม่ที่แสดงถึงแนวทางการเล่นที่มีประสิทธิภาพกว่าหลายๆ ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา
สิงคโปร์ยุคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม
ทีมชาติสิงคโปร์ชุดนี้เรียกได้ว่าต่างกับชุดแชมป์ปี 2012 หน้ามือเป็นหลังมือ ไม่มีอีกแล้วทีมบอลยาวสุดเขี้ยวตามสไตล์เฮดโค้ช ราดอจโก้ อัฟราโมวิช ที่เน้นนักเตะรูปร่างใหญ่ เล่นหนักอย่าง อเล็กซานเดอร์ ดูริช หรือ มุสตาฟิก ฟาห์รุดดิน
ในขณะวันอาทิตย์ที่ผ่านมาลูกทีมหนุ่มของ ฟานดี่ อาหมัด มาเล่นด้วยความกล้าหาญ เปิดเกมรุกและไล่เพรสซิ่งแดนบนตลอด 90 นาทีถึงแม้จะทำให้หลังรั่วพอสมควร
ดาวรุ่งเช่น อิคซาน ฟานดี่ เล่นได้หวือหวา กัปตันทีม ฮาริส ฮารูน ดูเหมือนจะแบกแดนกลางอยู่คนเดียว ในขณะที่ กาเบรียล คว็อก กับ ฟาริส รามลี ก็มีจังหวะจับบอลสวยๆ เหมือนกัน
ผู้เล่นเหล่านี้ยังสามารถเป็นแกนหลักของทีมชาติสิงคโปร์ได้อีกอย่างน้อย 3-4 ปี เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เข้ามารับงานต่อจาก ฟานดี่ อาหมัด ก็ควรจะสานต่อแนวทางการทำทีมเช่นนี้ไว้เพื่อความต่อเนื่องและยั่งยืน ดีกว่าโละระบบทิ้งหมดแล้วเริ่มต้นใหม่
อย่าลืมว่านี่คือ สิงคโปร์ ที่ไม่เอานักเตะโอนสัญชาติอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะมาใจร้อน หวังความสำเร็จระยะสั้น แบบแต่ก่อนไม่ได้เด็ดขาด
อดิศักดิ์ เพิ่งการจบสกอร์อย่างเดียว (อ้าว...แล้วมันไม่ดีหรอ?)
อดิศักดิ์ ไกรษร ซัดได้อีก 1 ประตู นำอันดับดาวซัลโวด้วยผลงานรวม 8 ประตู แต่ดูเหมือนศูนย์หน้า “กิเลนผยอง” จะเริ่มมีอาการล้าและกรอบขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เกมเยือน ฟิลิปปินส์
อดิศักดิ์ ห่างหายสนามไปนานเนื่องจากอาการบาดเจ็บและต้องยกเครดิตให้ “กอล์ฟ” เต็มๆ ที่สามารถกลับมาถล่มประตูในสีเสื้อทีมชาติไทยทันที อย่างไรก็ตามกองหน้าสมัยใหม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกันเกมรุกมากกว่าแค่การทำประตู ไม่ว่าจะเป็นการพักบอลและเชื่อเกมกับเพื่อน
ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ อดิศักดิ์ ไกรษร ทำได้ดีมาตลอด แต่ดูเหมือนอาการบาดเจ็บยาวจะเริ่มส่งผลต่อร่างกายของ อดิศักดิ์ ที่อาจคืนสนามเร็วไปนิด
นอกจากการจบสกอร์ การมีส่วนร่วมในเกมรุกของเขาดูค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงว่า อดิศักดิ์ จะยืนระยะได้นานแค่ไหน แฟนบอลทั้งประเทศคงต้องภาวนาให้ อดิศักดิ์ ได้พักฟื้นจนเต็มถังก่อนรอบรองกับ มาเลเซีย
ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย...กับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ
ฉัตรชัย บุตรพรม ยึดตำแหน่งตัวจริงเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันและคลีนชีตในเกมนี้ก็น่าจะมอบความมั่นใจให้จอมเซฟวัย 31 ปีไม่น้อย
โดย ฉัตรชัย มีจังหวะมองมาตัดลูกโด่งและออกบอลเร็วให้ทีมชาติไทยเริ่มเกมโต้กลับหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ฉัตรชัย ก็ยังมีจังหวะให้แฟนบอลได้เสียวบ้างเช่นตอนจับลูกคืนหลังของ สรรวัชญ์ เดชมิตร วืด หรือการที่เขามักจะชกหรือปัดบอลออกข้างมากกว่าที่จะรับไว้กับมือ ทำให้เสี่ยงที่จะโดนยิงซ้ำหากบอลบังเอิญไปเข้าทางคู่แข่ง
มือหนึ่งป้ายแดง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด น่าจะได้เป็นตัวจริงอีกนัดแต่ตำแหน่งผู้รักษาประตูก็ยังถือว่าเป็นจุดที่แฟนบอลยังรู้สึกหนาวๆร้อนๆ