เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ฟุตบอลอาเซียน

ฝันร้าย เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ที่ยังหลอกหลอนความทรงจำแฟนบอล อาเซียน ตราบจนทุกวันนี้

อีกไม่นานฮาโลวีนก็จะมาถึง เป็นวันปล่อยผีและเวลาของความหลอน ทว่าฝันร้ายเหล่านั้นไม่ได้อยู่เพียงแค่โลกของภูตผีปีศาจ แต่ลามมาถึงฟุตบอลเช่นเดียวกัน และนี่คือฝันร้ายที่ยังตามหลอกแฟนบอล อาเซียน อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแค่นึกถึงก็เสียวสันหลังแล้ว

ไทย

เข้าสู่ยุคมืดทีมชาติไทยเต็มตัว

เหตุเกิด: 2010

ทีมชาติไทย นำโดยหัวหน้าโค้ชไบรอัน ร็อบสัน มุ่งหน้าเข้าสู่ศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ ในฐานะตัวเต็งหลังคว้ารองแชมป์เมื่อก่อนเมื่อ 2 ปีก่อน แถมตัวผู้หลักเช่น ดัสกร ทองเหลา, สุธี สุขสมกิจ, สุรีย์ และ สุรัตน์ สุขะ ก็ยังอยู่กันครบหน้าครบตา

อย่างไรก็ตามโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลในประเทศที่แน่นเอี้ยดและไม่เป็นระบบนักทำให้นักเตะมีเวลารวมตัวกันเพียง 3 วันเท่านั้น จนหลายคนเป็นห่วงว่าจะไปรอดหรือไม่ ถึงแม้ลึกๆ ในใจจะเอาภาวนาแค่ให้เบียดเข้ารอบเป็นพอ

ทว่าฟอร์มของทีมชาติไทยก็ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่นัดแรกหลังต้องมาไล่ตีเสมอ สปป.ลาว นาทีสุดท้าย 2-2 จากลูกโหม่งของ "โจ้ 5 หลา" ศรายุทธ ชัยคำดี ลูกทีมของ ร็อบสัน เล่นกันอย่างเอื่อยเฉื่อย ไร้ซึ่งจินตนาการ และยังไม่สามารถเร่งเครื่องได้ในนัดต่อไปที่เสมอ มาเลเซีย แบบจืดชืด 0-0

สถานการณ์ในตอนนั้นบีบให้ ไทย ต้องล้มเจ้าภาพ อินโดนีเซีย พร้อมลุ้นให้ มาเลเซีย ไม่ชนะ สปป.ลาว เพื่อที่เราจะเข้ารอบ และก็เป็น สุรีย์ สุขะ ที่จุดประกายความหวังแฟนบอลทั้งประเทศด้วยลูกวอลเลย์ให้ ไทย ขึ้นนำในนาทีที่ 69

แต่ด้วยเวลาเตรียมทีมที่น้อยนิด กระแสกดดันจากผลงานที่ไม่เข้าตา บวกกับความล้าสะสมจากฟุตบอลลีก ทำให้ทรงบอลของไทยเริ่มออกทะเล ก่อน ภานุพงศ์ วงศ์ษา จะทำเสีย 2 จุดโทษ โดนเหลืองแดงไล่ออกไป บัมบัง ปามุงกัส รับหน้าที่เหมาทั้ง 2 จุดโทษให้เจ้าบ้านแซงชนะ 2-1 เขี่ย ไทย ตกรอบไปโดยโทษใครไม่ได้

การตกรอบแบ่งกลุ่มศึกชิงแชมป์ อาเซียน ครั้งนั้นถือเป็นจุดต่ำสุดของช่วงที่ใครหลายคนเรียกว่ายุคมือแห่งทีมชาติไทย ระหว่างช่วงปลายปี 2009 ถึง 2011 ซึ่งเราตกรอบฟุตบอลชาย ซีเกมส์ 2 สมัยติดและไม่ผ่านแม้แต่รอบคัดเลือกรายการ เอเอฟซี เอเชี้ยนคัพ

ฝันร้ายมีโอกาสกลับมาหลอกหลอนอีกหรือไม่?

ฟุตบอลไทยพัฒนามาไกลจากเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เราเป็นรองแชมป์ ซูซูกิคัพ 1 ครั้ง และแชมป์อีก 2 สมัยติด ทุกวันนี้เรามีโปรแกรมอุ่นเครื่องตาม ฟีฟ่าเดย์ ให้ทีมได้เตรียมตัวอย่างต่อเนื่องแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงเป็นไม่ได้ยากที่เราจะมาตกม้าตายตั้งแต่รอบแรกเหมือนเมื่อปี 2010

เวียดนาม

ผีอำเอาโค้ชประตูมาคุมทีม

เหตุเกิด: 2004

ฟอร์มโดยรวมของ เวียดนาม ถือว่าอยู่ในระดับใช้ได้ก่อนเริ่ม เอเอฟเอฟ คัพ 2004 (ใช้ชื่อ ไทเกอร์คัพ ในขณะนั้น)

พวกเขาเปิดหัวด้วยการเสมอ สิงคโปร์ 1-1 และถล่ม กัมพูชา 9-1 ทำให้แฟนๆ เริ่มมั่นใจว่าทีมชุดนี้น่าจะพอเอาเรื่องอยู่ แต่ทว่าในเกมต่อมาลูกทีมของ เอ็ดสัน ตาวาเรส กลับเสียท่าโดน อินโดนีเซีย อัดเละ 3-0 คาสนาม มาย ดินห์ เนชั่นแนล สเตเดี้ยม

ความพ่ายแพ้ต่อหน้าแฟนๆ ทั้งประเทศครั้งนั้นถือเป็นความอับอายระดับชาติ หลังสมาคมฟุตบอล เวียดนาม (VVF) ไม่ลังเล ปลด เอ็ดสัน ตาวาเรส ทันทีและให้โค้ชผู้รักษาประตูขึ้นมารักษาการชั่วคราว ช่วยกู้หน้าไว้ได้บ้างด้วยการชนะ สปป.ลาว 3-0

ฝันร้ายมีโอกาสกลับมาหลอกหลอนอีกหรือไม่?

ทัพนักเตะเลือดใหม่ เวียดนาม กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสุดๆ หลังจากประสบความสำเร็จมาจากรายการ เอเอฟซี ยู23 และ เอเชียนเกมส์ 2018 เพราะฉะนั้นถ้าหากนักเตะเหล่านี้ไม่ประมาทคู่แข่งเกินไป ฝันร้ายในวันนั้นคงไม่ย้อนคืนมาอีก

อินโดนีเซีย

ซ้อมบี้ ฆ่าไม่ตาย

เหตุเกิด: 2010

เจ้าภาพอินโดนีเซีย ออกสตาร์ททัวร์นาเมนต์ได้อย่างร้อนแรงด้วยการยำใหญ่ มาเลเซีย 5-1 สปป.ลาว 6-0 และไทย 2-1 เขี่ยตัวเต็งแชมป์ตกรอบ ผลสกอร์ 1-0 ใน 2 นัดไปกลับในรอบรองชนะเลิศกับ ฟิลิปปินส์ ถือเป็นการรักษามาตรฐานได้ดี ตีตั๋วเข้าไปชิงชนะเลิศกับ มาเลเซีย ทีมซึ่ง อินโดนีเซีย เชือดมานิ่มๆ แล้วในรอบแบ่งกลุ่ม

แต่ทว่า มาเลเซีย ที่ใครก็คิดว่าของง่าย กลับฟื้นขึ้นมารัวใส่ อินโดนีเซีย คาสนามกีฬาแห่งชาติบูกิตจาลิล 3-0 และถึงแม้สื่อในประเทศจะช่วยกันประโคมกระแสว่าสามารถกลับมาได้ เหมือนกับเกม ลิเวอร์พูล ปะทะ เอซี มิลาน ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2005 จะมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ อินโดนีเซีย ชนะได้เพียง 2-1 คว้ารองแชมป์อีกครั้งหนึ่ง

ฝันร้ายมีโอกาสกลับมาหลอกหลอนอีกหรือไม่?

เป็นอีกครั้งที่ทัพ “อิเหนา” จะได้เลือกใช้ศูนย์หน้าโอนสัญชาติเหมือนกับเมื่อปี 2010 ที่มี คริสเตียน กอนซาเลซ และปัจจุบันมี เบโต้ กอนคาเวส เป็นผู้สืบทอดตำนานนั้น ในขณะเดียวกัน ปัญหาการจัดการนอกสนามยังคงคาราคาซังเหมือนเดิมเช่นการที่ลีกในประเทศยังเตะกันไม่จบเสียที หรือการที่ หลุยส์ มิลลา กุนซือชาวสเปนของเลือกไปต่อสัญญาคุมทีม จนสมาคมต้องรีบแต่งตั้งนายใหญ่คนใหม่ได้แก่ บิมา ศักติ ผู้ซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์คุมทัพในรายการระดับเมเจอร์อะไรมากมาย โอกาสฝันถึงแชมป์คงไกลเกินเอื้อม

มาเลเซีย

เล่นมึนๆ เหมือนโดนมนต์ดำ

เหตุเกิด: 2014

เกมแรกใน ซูซูกิคัพ 2014 ของ มาเลเซีย ทีประกอบได้ด้วยแข้งจอมเก๋าเต็มทีมทำได้เพียงเสมอกับ เมียนมาร์ 0-0 ต่อด้วยการแพ้ไทย 3-2 จากลูกยิงนาทีสุดท้ายของ อดิศักดิ์ ไกรษร ก่อนพลิกชนะ สิงคโป 3-1 แต่อย่าลืมว่าต้องรอถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บกว่าจะมาได้ 2 ประตูทิ้งห่างสำคัญ เข้ารอบรองชนะเลิศไปแบบมึนๆ

ไม่เพียงเท่านั้น ทัพเสือเหลืองยังคงเล่นแบบมึนๆ ในเกมเปิดบ้านแพ้ เวียดนาม ในเลกแรก 2-1 โชคดีที่มีสติกลับมาชนะเลก 2 ได้ด้วยผลต่างประตูรวม 5-4

ลูกทีมของ ดอลลาห์ ซาเลห์ ถูกทีมชาติไทยเราสอนเชิงไป 2-0 และถึงแม้เลก 2 พวกเขาจะนำ ไทย ห่างถึง 3 ลูก แต่ด้วยคอนเซ็ปต์ “มึนมนต์ดำ” ที่พกติดตัวมาตั้งแต่รอบแรก พวกเขาก็ปล่อยให้ ไทย ยิงตีตื้นมา 2 ลูก ความแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ มาครองด้วยผลต่างประตูรวม 5-4

ฝันร้ายมีโอกาสกลับมาหลอกหลอนอีกหรือไม่?

ทีมของโค้ชตัน เชง โฮ จับสายมาอยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างง่ายร่วมกับ เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา จะมีของแข็งก็แค่ เวียดนาม แชมป์ปี 2008 เท่านั้น

ปีนี้ มาเลเซีย มีที่อาวุธหนักรายใหม่ได้แก่ โมฮัมมาดู ซูมาเร่ แข้งโอนสัญชาติจาก แกมเบีย ทำให้สมาคมมั่นใจ ตั้งเป้าเข้ารอบให้ถึงรอบชิงเป็นอย่างน้อย