ฟุตบอลทีมชาติ ฟุตบอลโลก

เล่นดีแต่ไม่ได้ไปต่อ: รวมพลคนอกหักรอบแรกบอลโลก 2018

ฟุตบอลโลก 2018 ผ่านการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มไปแล้วเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และได้ 16 ชาติรอดวลแข้งกันในรอบน็อคเอาท์เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม มีอยู่หลายทีมที่แม้จะมีอันต้องจอดป้ายรอบแรก ทว่าก็มีนักเตะเด่นในทีมที่งัดศักยภาพของตัวเองออกมาช่วยทีมอยู่ไม่น้อย และนี่คือรวมพลคนอกหักในเกมรอบแรกของเวิลด์คัพที่รัสเซียที่ฟุตบอลไทรบ์คัดเลือก 11 ผู้เล่นกำลังหลักของแต่ละทีมในระบบ 3-4-3

กดลูกศรทางขวาเพื่ออ่าน

ผู้รักษาประตู - โช ยุน วู (เกาหลีใต้)

นายด่านเจ้าของสถิติติดทีมชาติ 6 เกม (ก่อนมาฟุตบอลโลก) ก้าวขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งของเกาหลีใต้เหนือ คิม ซึง กิว และ คิม จิน ยอน สองนายทวารที่มีประสบการณ์ติดทีมชาติเยอะกว่า และภายใต้โอกาสลงเฝ้าเสาครบทั้ง 3 เกม มือกาวสังกัดแดกู เอฟซี ตอบแทนโอกาสล้ำค่านี้ด้วยการทำสถิติเป็นผู้รักษาประตูท็อปทรีหลังผ่านเกมรอบแบ่งกลุ่มที่โชว์เซฟมากถึง 13 ครั้ง (คิดเป็นร้อยละ 81.2) และหนึ่งในเกมที่ต้องยกย่องโชคือนัดที่เกาหลีใต้ชนะเยอรมัน 2-0 เพราะตลอด 90 นาที เขาต้องออกแรงป้องกันเกมบุกของอินทรีเหล็กมากถึง 7 ครั้ง

กองหลัง - คิม ยอง กวอน (เกาหลีใต้)

ดาวเตะสังกัดกวางโจว เอเวอร์แกรนด์ ได้โอกาสจากชิน แต ยอง เฮดโค้ชโสมขาวในการสตาร์ทเป็นปราการหลังตัวกลางครบทั้ง 3 เกมแบบ 270 นาทีเต็ม ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบแทนโอกาสนี้แบบน่าพอใจ เขามีวินัยเกมรับที่หนักแน่น เข้าสกัดคู่แข่งแบบไม่เสียฟาวล์ถึง 4 ครั้ง แถมยังเป็นกองหลังตัวกลางรายเดียวของทีมที่ได้โอกาสขึ้นไปเติมเกมรุก และเปลี่ยนเป็นสกอร์ให้ทัพแทกุ๊ก วอริเออร์สได้ในนัดส่งท้ายที่ทีมชนะเยอรมัน 2-0

กองหลัง - มุรเตฎอ ปูรอลิกานญิ (อิหร่าน)

แนวรับวัย 26 ปีจากอัล ซาดด์ คือผู้เล่นกองหลังตัวกลางรายเดียวของนักรบเปอร์เซียที่ไม่ถูกเปลี่ยนตัวออกเลยตลอด 3 เกม และจากผลงานเด่นของอิหร่านที่ทำสถิติเป็นชาติที่เกมรับเด่นมากที่สุดในรอบแบ่งกลุ่มจากสถิติเคลียร์บอล, เข้าสกัด รวมถึงเซฟประตูรวมกันถึง 149 ครั้ง ส่งให้ทีมเสียเพียง 2 ประตูในรอบคัดเลือก ทั้งยังปิดกั้นเกมรุกของทั้งสเปนและโปรตุเกสที่ยิงใส่อิหร่านได้เพียงชาติละ 1 ประตู แน่นอนว่าดาวเตะหมายเลข 8 คือส่วนหนึ่งของผลงานเด่นนี้

กองหลัง - คริสเตียน รามอส (เปรู)

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้อีกหนึ่งตัวแทนของทวีปอเมริกาใต้เสียเพียง 2 ประตู ซึ่งน้อยสุดเป็นอันดับ 6 ร่วมของรอบแบ่งกลุ่ม ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ มาจากการเล่นเกมรับที่หนักแน่นของปราการหลังวัย 29 ปีรายนี้ ที่เขาเป็นผู้เล่นแนวรับคนเดียวของเปรูที่ออกสตาร์ทตัวจริงครบทุกเกม และไม่โดนเปลี่ยนออกเลย

วิงแบ็คซ้าย - วิคเตอร์ โมเซส (ไนจีเรีย)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าดาวเตะริมเส้นด้านขวาสังกัดเชลซีคือสตาร์ตัวเลือกแรกๆของทีมอินทรีมรกตในฟุตบอลโลก 2018 หนนี้ โดยตลอดการลงเล่น 3 นัด เจ้าตัวยังคงแสดงให้เห็นถึงความอืดวิ่งขึ้นเติมเกมรุกและถอยมาช่วยเกมรับในบางโอกาส ก่อนที่ศักยภาพดังกล่าวนี้จะเปลี่ยนเป็นผล 1 แอสซิสต์ในเกมเฉือนไอซ์แลนด์ และอีก 1 ประตูจากจุดโทษในนัดส่งท้ายที่พ่ายหวิวอาร์เจนตินา 1-2

กองกลาง - ไมล์ เยดินัค (ออสเตรเลีย)

แม้ผลงานของออสเตรเลียจะรั้งอยู่อันดับสุดท้ายของกลุ่มบี แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการวางหมากที่ผิดพลาดของกุนซือเบิร์ต ฟาน มาไวค์ ทว่ากัปตันเยดินัคในวัย 33 กะรัตกลับรักษาฟอร์มสม่ำเสมอ โดยเจ้าตัวคือผู้เล่นแดนกลางของทีมจิงโจ้ที่เข้าสกัดคู่แข่งแบบไม่ติดฟาวล์มากที่สุดถึง 5 ครั้ง แถมโอกาสขึ้นไปเติมเกมรุกก็ทำให้ทีมมีลุ้นเช่นกัน จากสถิติการเข้าทำในกรอบโทษรวมกัน 6 ครั้ง (เปลี่ยนผลเป็น 2 ประตูจากจุดโทษ)

วิงแบ็คซ้าย - อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ (เซอร์เบีย)

กัปตันทีมเซอร์เบียยังคงมีจุดเด่นจากการเล่นลูกครอสที่แม่นยำ และทีเด็ดจากการยิงฟรีคิกที่ลุ้นเปลี่ยนผลเป็นประตูอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ผลงานของทัพเซิร์บจะเก็บได้เพียง 3 คะแนนจาก 3 เกม ทว่า 1 จาก 2 ประตูที่ทีมทำได้ เกิดจากการเล่นเท้าซ้ายที่เด็ดขาดเปลี่ยนผลเป็นประตูจากฟรีคิกในเกมแรกที่เซอร์เบียเฉือนคอสตาริก้า 1-0

กองกลาง - อิดริสซา กานา เกย์ (เซเนกัล)

มิดฟิลด์จอมขยันจากเอฟเวอร์ตัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในแดนกลางทั้งการขับเคลื่อนเกมอย่างไม่มีหมด บ่อยครั้งที่ลงไปช่วยตัดเกม เปลี่ยนจากเกมรับเป็นรุกได้ไม่น้อย โดยตลอดเวลา 270 นาทีในสนาม ดาวเตะดีกรีพรีเมียร์ลีกมีส่วนกับประตูที่ทีมได้ 1 ลูกในเกมประเดิมกลุ่มเอชที่อัดโปแลนด์ 2-1 โดยเจ้าตัวเป็นคนซัดบอลติดแฉลบ ติอาโก้ ซิโอเน็ค แข้งคู่แข่งเปลี่ยนผลเป็นประตูขึ้นนำของทีมตั้งแต่นาทีที่ 37 ของการแข่งขัน

กองหน้า - โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (อียิปต์)

ซูเปอร์สตาร์จากลิเวอร์พูลคือนักเตะกำลังสำคัญของทีมฟาโรห์ชุดลุยเวิลด์คัยสมัยที่สามในประวัติศาสตร์ แม้จะชวดลงสนามในเกมแรกที่เจออุรกวัยจากอาการเจ็บเดิมหลังเกมนัดชิงยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีกกับลิเวอร์พูล ทว่าพอเข้าสู่การแข่งอีกสองเกม แนวรุกจอมเทคนิควัย 26 ปีกลับมาลงเป็นตัวจริงแบบ 90 นาทีเต็มทั้งสองเกม และมีชื่อทำ 2 ประตู แต่ไม่เพียงพอที่จะพาอียิปต์เก็บได้แม้แต่คะแนนเดียว ตกรอบแบ่งกลุ่มแบบจบบ๊วยของกลุ่มเอ แถมยังถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 31 ของการแข่งครั้งนี้

กองหน้า - อาเหม็ด มูซา (ไนจีเรีย)

แม้บทบาทในสโมสรของแข้งความเร็วสูงจะแทบไม่มีร่วมกับเลสเตอร์ ซิตี้ กระทั่งต้องกลับมาสตาร์ทใหม่กับซีเอสเคเอ มอสโค จนกลับมาสร้างความมั่นใจได้อีกครั้ง จากผลงานเล่นเกมลีก 10 นัด ยิง 6 ประตู สิ่งนี้ส่งมาถึงบทบาทในทีมชาติ ที่แข้งวัยเบญจเพสยังคงเป็นอาวุธเด็ดในเกมรุกชนิดที่ทีมขาดไปไม่ได้ เพราะหลังผ่าน 3 นัด มูซาสวมบทฮีโรซัดคนเดียวสองลูกในเกมประเดิมสามแต้มของทัวร์นาเมนต์เหนือไอซ์แลนด์ 2-0 เรียกได้ว่าเขาถูกโฉลกกับการยิงประตูในดินแดนหมีขาวอย่างยากปฏิเสธ

กองหน้า - ซน ฮึง มิน (เกาหลีใต้)

แม้ว่าเกมแรกดาวยิงท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์จะโชว์ฟอร์มเด่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้ไม่ถนัดนัก ทว่าพอเข้าสู่การแข่งเกมที่สองและสาม ซนเริ่มแสดงให้เห็นถึงความสามารถเฉพาะตัว และเล่นกับเพื่อนร่วมทีมแบบทันจังหวะกันมากขึ้น นำมาซึ่งการยิง 2 จาก 3 ประตูให้โสมขาวในบอลโลกหนนี้ โดยหนึ่งในนั้นคือประตูย้ำชัยชนะเหนือเยอรมัน แชมป์เก่าในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลังของแมตช์ส่งท้ายไป 2-0 นอกจากนี้ เขายังมีสถิติเป็นผู้เล่นที่มีโอกาสทำประตู ตลอด 3 เกมในอันดับ 4 ร่วมที่ 14 ครั้ง

เฮดโค้ช - คาร์ลอส เคยรอซ (อิหร่าน)

ส่วนหนึ่งที่ทำให้อิหร่านต่อกรกับคู่แข่งในกลุ่มบีที่มีทีมแข็งทั้งสเปน, โปรตุเกส และโมร็อคโคได้อย่างสูสี มาจากแท็คติกของเทรนเนอร์มากประสบการณ์ชาวโปรตุกีสรายนี้ โดยเคยรอซยึดมั่นให้ลูกทีมครองบอลเหนียวแน่น ไล่บีบคู่แข่งไม่ได้ให้เล่นบอลง่ายนัก และคอยอาศัยเกมสวนกลับจากเหล่าแกนรุกจอมเทคนิค ที่มีทั้ง อาลีรีฎอ ญาฮานบัคช์, การีม อันซอรีฟาริด รวมถึงซาร์ดาร์ อัซมูน นำมาซึ่งผลชนะโมร็อคโค 1-0 พ่ายสเปนแบบฉิวเฉียด 0-1 และปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มด้วยผลเสมอโปรตุเกส 1-1 แบบสู้ไม่ถอยจนนาทีสุดท้ายของเกม เรียกได้ว่าตกรอบแบบน่าชื่นชมในผลงานไม่น้อย