เอเชีย ฟุตบอลเกาหลี

กาลครั้งหนึ่ง: 5 แมตช์ความทรงจำทีมเอเชียฟุตบอลโลก

 

ซาอุดิอาระเบีย ประเดิมสนามในฟุตบอลโลก 2018 ไปแล้วด้วยผลพ่ายรัสเซีย เจ้าภาพยับเยิน 0-5 ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเท่าใดนักของทัพเหยี่ยวมรกตในฐานะ 1 ใน 5 ของตัวแทนเอเชียในการแข่งขันเวิลด์คัพ รอบสุดท้าย อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้เคยมีชาติในเอเชียที่เคยสร้างเหตุการณ์น่าจดจำทั้งเรื่องราวน่าประทับใจ ตลอดจนประเด็นฉาวจารึกไว้ในเวิลด์คัพไม่มากก็น้อย และนี่คือ 5 แมตช์ความทรงจำของชาติเอเชียในฟุตบอลโลก

กดลูกศรทางขวาเพื่ออ่าน

 

เกาหลีเหนือ ชนะ อิตาลี 1-0 | ฟุตบอลโลก ปี 1966

แม้ในเวิลด์คัพบนเกาะอังกฤษหนนี้ ชาติจากเอเชียจะได้สิทธิ์เพียงครึ่งทีม เพราะต้องไปเล่นเพลย์ออฟจากทีมจากแอฟริกา ทว่าจากการที่ชาติในแอฟริกาตัดสินใจไม่ส่งทีมแข่ง เนื่องจากมองว่าโควตาดังกล่าวไม่ยุติธรรม ส่งผลให้เกาหลีเหนือ ในฐานะทีมอันดับ 1 ของรอบเพลย์ออฟโซนเอเชีย-โอเชียเนีย ทะลุเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ

โดยพลพรรคโสมแดงที่นักฟุตบอลทั้งหมดไม่ได้เป็นแข้งอาชีพ แถมประเทศก็เพิ่งจะพ้นวิกฤตสงครามเกาหลีมาได้ไม่นาน แต่พวกเขาได้สร้างผลงานน่าจดจำแบบไม่มีใครคาดคิด แม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 4 ที่มีทีมแกร่งอย่างอิตาลี, สหภาพโซเวียต และ ชิลี ซึ่งต่างก็มีประสบการณ์ในการแข่งขันรอบสุดท้ายมาก่อน แต่หนึ่งเดียวจากเอเชียกลับสร้างความฮือฮาผงาดเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย จากการคว้าชัยเหนืออัซซูรี ในนัดส่งท้ายกลุ่ม 1-0 ทำให้สถานการณ์ตอนนั้นพวกเขาเข้ารอบตัดเชือกด้วยการเป็นที่ 2 ของสาย โดยประตูชัยในเกมนี้เกิดขึ้นในนาทีที่ 41 จากปัค ดู อิค แข้งที่รับราชการทหารในกองทัพ ส่งให้เกาหลีเหนือเป็นชาติแรกในเอเชียที่มาไกลถึงรอบลึกๆของการแข่งขัน

 

อิหร่าน ชนะ สหรัฐอเมริกา 2-1 | ฟุตบอลโลก ปี 1998

หากนึกถึงฟุตบอลโลกปี 1998 เชื่อว่าแฟนบอลส่วนใหญ่คงเห็นภาพของฝรั่งเศส ชาติเจ้าภาพไล่ถลุงบราซิลจนคว้าแชมป์บนแผ่นดินตัวเอง นึกถึงช็อตที่เดวิด เบ็คแฮม โดนไล่ออกในเกมอังกฤษ-อาร์เจนตินา จากการไปเล่นนอกเกมใส่ดิเอโก ซิเอโมเน ตลอดจนบทเพลงคุ้นหูของการแข่งขันหนนี้โดยริคกี้ มร์ติน ทว่าอีกหนึ่งเหตุการณ์น่าจดจำแบบไม่น้อยหน้าคือการเผชิญหน้ากันของทัพเปอร์เซียกับพลพรรคพญาอินทรี

สืบเนื่องมาจากทั้งสองชาติมีปัญหาไม่ลงรอยกัน จากการที่ซึ่งนับเป็นผลสืบเนื่องมาจากตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามเมื่อเมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เรื่อยมาจนถึงช่วงไล่เลี่ยกับฟุตบอลโลกปี 98 ที่มีทั้งรัฐบาลสหรัฐขู่คว่ำบาตรอิหร่าน ทั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดจนทดสอบสมรรถภาพแร่ยูเรเนียมของอิหร่าน ทำให้ในการเจอกันรอบแบ่งกลุ่มของทั้งสองชาติเต็มไปด้วยการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่อย่างแน่นหนา ทว่าพอเริ่มการแข่งขัน บรรยากาศในสนามกลับเต็มไปด้วยมิตรภาพ ทีมชาติอิหร่านยังถือช่อดอกไม้คนละช่อเพื่อมอบให้แข้งมะกัน และมีการถ่ายภาพหมู่ร่วมกันฉันท์มิตร แถมนักเตะทั้งสองทีมต่างโบกมือให้กับแฟนบอลคู่แข่ง

สำหรับการแข่งขันดำเนินไปตามปกติ ทั้งสองทีมต่างต้องการสามคะแนนเพื่อโอกาสเข้ารอบต่อไป ก่อนจะเป็นทีมจากเอเชีย เบียดชนะไป 2-1 จากการทำประตูของฮามิด เอสติลี นาทีที่ 41 และเมห์ดี้ มาดาวิเกีย นาทีที่ 83 ส่วนอเมริกาได้ประตูจาก ไบรอัน แมคไบรด์ ในนาทีที่ 87

 

เกาหลีใต้ ชนะ อิตาลี 2-1 | ฟุตบอลโลก ปี 2002

เจ้าภาพร่วมฟุตบอลโลกผ่านเข้าสู่เกมรอบน็อคเอ้าท์หนแรกในฐานะแชมป์กลุ่มดี ด้วยการมี 7 คะแนน จากผลชนะโปแลนด์ 2-0 เสมอสหรัฐอเมริกา 1-1 และเฉือนโปรตุเกส 1-0 ซึ่งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โสมขาวมีคิวเจออีกหนึ่งยักษ์ใหญ่จากยุโรปอย่าง อิตาลี ที่ในขณะนั้นมีแกนหลักอย่าง เปาโล มัลดินี, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร

แม้ชื่อชั้นของเจ้าถิ่นจะเป็นรอง แถมยังถูกอัซซูรีได้ประตูออกนำไปก่อนจากคริสเตียน วิเอรี นาทีที่ 18 ทว่ากลับเกิดข้อน่ากังขาในการตัดสิน หลังไบรอน โมเรโน ผู้ตัดสินชาวเอกวาดอร์มองไม่เห็นการเข้าสกัดอย่างรุนแรงจากทางฝั่งเจ้าภาพนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ให้ประตูแก่อิตาลี ทั้งยังชูใบแดงไล่ต็อตติแบบค้านสายตา ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 103 ซึ่งขณะนั้นสกอร์อยู่ที่ 1-1 สุดท้ายเป็นอาห์น จุง วาน กลายเป็นฮีโร่ซัดส่งทัพแทกุ๊ก วอริเออร์ส เอาชนะสกอร์โกลเด้นโกล นาทีที่ 117 ไป 2-1 หลังจบทัวร์นาเมนต์ โมเรโนยังไปสร้างเรื่องต่อในบ้านเกิด จากการรับสินบนในการตัดสินจนถูกลงโทษแบนยาว ปิดฉากอาชีพผู้ตัดสิน มิหนำซ้ำเมื่อปี 2010 เขายังถูกตำรวจสหรัฐฯจับกุมหลังลักลอบพกเฮโรอีน 6 กิโลกรัม จนกระทั่งถูกศาลตัดสินจำคุกในที่สุด ก่อนจะถูกปล่อยตัวในอีก 2 ปีต่อมา

 

เกาหลีใต้ ชนะจุดโทษ สเปน 5-3 | ฟุตบอลโลก ปี 2002

หลังโกงความตายเฉือนชนะอิตาลีจากประตูโกลเด้นโกล ส่งให้ทีมพลังโสมทะลุเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรก และคราวนี้เกาหลีใต้ยังคงต้องเผชิญศึกหนักกับสเปน ที่อันดับฟีฟ่าแรงกิ้งอยู่ลำดับที่ 8 ซึ่งดวลจุดโทษชนะไอร์แลนด์มาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้คงมาไกลสุดเพียงเท่านี้ ทว่าเมื่อเข้าสู่การแข่งขัน ทีมกระทิงดุดันโชคร้ายเจอพิษของผู้ตัดสินเช่นเดิม หลังอามาล อัล กันดูร์ กรรมการจากอียิปต์ไม่เป่าเป็นประตูทั้ง 2 ลูกที่ทีมนำเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้แล้ว ก่อนที่เกมจะยืดเยื้อมาถึง 120 นาที และเป็น ฮวาง ซุน ฮอง, พาร์ค จี ซอง, โซล คี เฮือน, อาห์น จุง วาน และ ฮอง เมียง โบ สังหารไม่พลาดแม้แต่คนเดียว ส่วนสเปนมีเฟอร์นานโด เอียร์โร และรูเบน บาราฆา และชาบี เอร์นานเดซ ยิงเข้าไป ทว่าโจอาควิน ซานเชส คนชี้ชะตากลับยิงไม่เข้า ทำให้เกาหลีใต้เอาชนะไปด้วยสกอร์ 5-3 กลายเป็นทีมจากเอเชียชาติแรกที่ทะลุถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

 

ญี่ปุ่น ชนะ เดนมาร์ก 3-1 | ฟุตบอลโลก ปี 2010

ในฟุตบอลโลกปี 2010 ทีมซามูไรบลูทะลุเข้ามาเล่นเกมเวิลด์คัพรอบสุดท้ายได้เป็นหนที่ 4 และในเกมรอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้นี้ ทัพลูกพระอาทิตย์ภายใต้การคุมทีมของทาเคชิ โอคาดะ ที่คุมทีมลุยบอลโลกสมัยที่สอง พาชาติตัวเองทะลุเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายอีกครั้ง หลังจากที่เคยทำไว้สมัยที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ เมื่อปี 2002 โดยตลอดการแข่งขันในกลุ่มอี ญี่ปุ่นอยู่ร่วมกลุ่มกับฮอลแลนด์, แคเมอรูน และเดนมาร์ก

ในสองเกมแรกทีมซามูไรทำผลงานแบบมีลุ้นเข้ารอบจากเกมประเดิมเฉือนทีมหมอผี 1-0 และแม้เกมนัดมาจะพ่ายอัศวินสีส้ม ที่ภายหลังคว้ารองแชมป์โลกไป 0-1 แต่พอถึงเกมชี้ชะตากับทัพโคนม ที่เงื่อนไขของญี่ปุ่นคือขอเพียงผลเสมอก็จะเข้ารอบ เพราะผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า สุดท้ายทีมของโอคาดะรวมพลังไล่อัดทีมจากยุโรปเหนือแบบเหนือชั้นที่สกอร์ 3-1 ได้ 2 ประตูจากลูกฟรีคิกของสองสตาร์เทพลูกนิ่งทั้ง เคซุเกะ ฮอนดะ และ ยาสึฮิโตะ เอนโด ส่วนอีกลูกได้จากชินจิ โอคาซากิ กรุยทางสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะทีมอันดับสองไปเจอกับปารากวัย และจากสกอร์ดังกล่าว ถือเป็นหนแรกที่ญี่ปุ่นทำประตูได้เกิน 2 ลูก นับตั้งแต่ที่แข่งรอบสุดท้ายหนแรกเมื่อ 12 ปีที่แล้ว