ในโลกลูกหนังมักจะมีเหตุการณ์สำคัญให้เราได้ระลึกถึงเกมต่างๆเสมอ และนักเตะคนสำคัญส่วนใหญ่ที่ผู้คนจะจดจำอาจไม่ใช่ผลงานที่ทำมาอย่างยาวนาน แต่อาจะจเป็นแค่ผลงานในช่วงเวลาสำคัญครั้งเดียวก็เพียงพอ ฟุตบอลไทรบ์จะพาไปย้อนดูฮีโร่ในเหตุการณ์ที่ผ่านมา
กดลูกศรทางด้านขวาเพื่อร่วมติดตามไปกับเรา
เปเล่ (บราซิล - 1958)
ฟุตบอลโลก 1958 ที่สวีเดนเป็นเวทีใหญ่สำหรับ’ราชาลูกหนัง’ เปเล่ แข้งวัย 17 ปีเริ่มบนม้านั่งสำรองกับคนที่เหลือก่อนที่กองกลางอย่างดิดี้จะขอให้ลองใช้ เปเล่ กับ การ์รินชา ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ที่เหลือจากนั้นคือประวัติศาสตร์ เปเล่ยิงหกประตูในสามเกม ช่วยทัพเซเลเซาได้ชูถ้วยจูลส์ ริเมท์เป็นสมัยแรก ยังไม่กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ภายลังบนเส้นทางค้าแข้งของเขา เด็กหนุ่มร่ำไห้ด้วยความปิติกับพีชายที่เป็นแฟนบอลในฐานะฮีโร่
เอมมานูเอล แซนนอน (เฮติ - 1974)
ทีมเฮติทำช็อคด้วยการขึ้นนำอิตาลีหลังจากไม่กี่นาทีในฟุตบอลโลก1974 เอมมานูเอล แซนนอนวิ่งแซงด้วยความเร็วก่อนที่จะล็อคหลบผู้รักษาประตูดิโน ซอฟฟ์แล้วทำประตูทีมอัซซูรี แม้จะอิตาลีชนะ 3-1 แต่ประตูของแซนนอนก็ยิ่งใหญ่พอจะให้เฮติทั้งประเทศเฉลิมฉลอง
แซนนอนย้ายไปเล่นในยุโรป ที่ลีกเบลเยี่ยม เบียสชอต หลังจบบอลโลก สิ้นสุดเส้นทางอาชีพด้วยสถิติ 47 ประตูใน 100 นัดนามทีมชาติ เจ้าตัวพูดถึงอิตาลีในช่วงนั้น แซนนอนเรียก 17 นาทีที่ขึ้นนำอิตาลีตอนนั้นว่า ‘นาทีในสรวงสวรรค์’ สำหรับตัวเขาและเพื่อนร่วมทีม
นอร์แมน ไวท์ไซด์ (ไอร์แลนด์เหนือ - 1982)
นอร์แมน ไวท์ไซด์พึ่งลงเล่นเพียงสองนัดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก่อนจะถูกเรียกโดยบิลลี บิงแฮม โค้ชทีมชาติไอร์แลนด์เหนือชุดฟุตบอลโลก 1982 เขาทำลายสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลกของเปเล่ ด้วยอายุ 17 ปี 41 วัน
การมีไวท์ไซด์ในแผงกองกลาง ไอร์แลนด์เหนือทะลุเข้ารอบแบ่งกลุ่มด้วยชัยชนะนัดประวัติศาสตร์ 1-0 เหนือสเปน ไอร์แลนด์เหนือแพ้ให้กับฝรั่งเศส 1-4 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เส้นทางอาชีพของไวท์ไซด์ดับวูบเพราะอาการบาดเจ็บ แต่ฟอร์มการเล่นของเขาในไอบีเรียยังเป็นที่ประทับใจเปเล่ ราชาลูกหนังกล่าวชมว่า’ทั้งโลกอยู่ในมือไวท์ไซด์’หลังฟุตบอลโลก 1982 จบลง
ไมเคิล โอเว่น (อังกฤษ - 1998)
ไมเคิล โอเว่นร่วมทัพสิงโตคำรามในฟุตบอลโลก 1998 ด้วยดีกรีรองแชมป์, ดาวซัลโว, และดาาวรุ่งยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก 1997/98 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย หนูน้อยมหัศจรรย์สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเลี้ยงเดี่ยวหลบโรเบร์โต อยาลาและโฮเซ ชามอตต์ก่อนจะยิงแสกหน้าคาร์ลอส โรอาเข้าไป
โอเว่นและทัพสิงโตคำรามตกรอบจากการดวลจุดโทษ แต่ประตูของโอเว่นยังคงถูกฉายซ้ำทางสื่อเรื่อยๆ ความโศกเศร้าจากความพ่ายแพ้ โอเว่นถือว่าแจ้งเกิดเป็นสตาร์ของอังกฤษอย่างแท้จริง เขาได้บัลลังดอร์ปี 2001 ซึ่งเป็นนักเตะอังกฤษคนสุดท้ายที่คว้ารางวัลส่วนตัวสูงสุด
ซาอิด อัล โอไวราน (ซาอุดิอาราเบีย - 1994)
ในฟุตบอลโลก 1994 ซาอุดิอาราเบียเอาชนะเบลเยี่ยม 1-0 ชัยชนะเดียวในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกของเอเชียตะวันตกจนถึงตอนนี้ ซาอิด อัล โอไวรานกลายเป็นฮีโร่จากการเลี้ยงเดี่ยวจากกลางสนาม ผ่านคู่ต่อสู่สี่คนและยิงประตูเข้าไป เหตุการณ์ดังกล่าวถูกจัดเป็นประวัติศาสตร์ฟุตบอลที่สุดยอดที่สุดโดยซาอุดิอาราเบีย
อัล โอไวรานตกต่ำลงหลังทัวร์นาเมนท์ ถึงขั้นเข้าคุกเข้าตาราง แต่เจ้าตัวยังคงถูกจกจำดั่งอนุเสาวรีย์ของประเทศ
ฟลาวิโอ อมาโด (แองโกลา - 2006)
ฟุตบอลโลก 2006 เป็นครั้งเดียวที่แองโกลามีโอกาสปรากฎตัวในเวทีใหญ่ที่สุดในโลก ตัวแทนจากแอฟริกาแพ้ให้กับโปรตุเกส เสมอเม็กซิโก ยิงไม่ได้เลยในสองนัดแรก ในนัดสุดท้ายกับอิหร่าน แองโกลาต้องเหนื่อยเกือบชั่วโมงก่อนที่กองหน้า ฟลาวิโอ อมาโด จะลงสนาม
ฟลาวิโอ เล่นให้อัล อายในอิยิปต์ เขาถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมในทัวร์นาเมนท์แต่ใช้เวลาเพียงเก้านาทีในการจารึกชื่อจัวเองลงในประวัติศาสตร์ลูกหนังแองโกลา ดาวยิงส่วนสู่ง 173 ซม.ยิงอิหร่านจากโอกาสครั้งแรกในนาทีที่ 60 และมอบช่วงเวลาแห่งความสุขแก่แองโกลาเป็นครั้งแรกในฟฟุตบอลโลก
มาริโอ เกิตเซ (เยอรมัน - 2014)
ในนัดชิงชนะเลิศปี 2014 ระหว่างเยอรมันกับอาร์เจนตินา โยอัคคิม เลิฟ โค้ชอินทรีเหล็กส่งมาริโอ เกิตเซลงสนามพร้อมคำพูดว่า “ทำให้โลกเห็นว่า นายเจ๋งกว่าเมสซี” เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการตอบกลับประโยคปลุกใจนั้นและพาทีมชูถ้วยแชมป์โลกที่บราซิิล
ปัจจุบัน เกิตเซ่ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของดอร์ทมุนด์ได้ และถูกตัดชื่อออกจากทีมชาติเยอรมันในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เป็นสิ่งที่น้อยคนคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อสี่ปีก่อน