ฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก กำหนดให้แต่ละสโมสรมีผู้เล่นโควตาอาเซียนในทีมเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2018 และจากเกมการแข่งขันตลอดเลกแรกที่ผ่านมา ผู้เล่นจากชาติร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ละคนต่างก็สร้างผลงานร่วมกับสโมสรต่างไป บางคนยึดตัวหลักของทีม บางคนมักสตาร์ทในฐานะตัวสำรอง ขณะที่บางคนแทบไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง แต่ละคนต่างกันไป และนี่คือคะแนนความสามารถของบรรดาผู้เล่นโควตาอาเซียน หลังผ่านการแข่งขัน 17 แมตช์ของไทยลีก
เลื่อนลูกศรทางขวาเพื่ออ่าน
ลิน จอ ชิต (เมียนมา - พีที ประจวบ เอฟซี) ไม่มีคะแนน
ดาวเตะซ้ายธรรมชาติชาวเมียนมา เกือบเป็นแข้งอาเซียนเพียงรายเดียวที่ไม่มีโอกาสลงสนามตลอดเลกแรกของฟุตบอลไทยลีก กระทั่งเกมนัดที่ 14 ของฤดูกาล ที่เจ้าตัวถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองนาทีที่ 86 ในขณะที่ต้นสังกัดทิ้งห่างราชนาวีถึง 5-0 ซึ่งเป็นโอกาสสัมผัสเกมการแข่งขันเพียง 1 แมตช์ และยังไม่ได้สร้างผลงานอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน จึงไม่สามารถให้คะแนนความสามารถกับแข้งรายนี้ได้
ฮอง วู แซมสัน (เวียดนาม - บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) - 3.5 คะแนน
อดีตแชมป์ไทยลีก 2017 ตัดสินใจคว้ากองหน้าชาวเวียดนาม-ไนจีเรีย เข้ามาเป็นหนึ่งในแกนรุกลุ้นป้องกันแชมป์อีกสมัยในซีซัน 2018 นี้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากทีมมีแกนหลักเป็นสองสตาร์แซมบ้าอย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต และ เอ็ดการ์ ซิลวา ทำให้อดีตดาวซัลโววีลีกไม่อาจแย่งพื้นที่ลงสนามในทัพ “ปราสาทสายฟ้า” ได้ เขาลงสนามไปเพียง 2 เกม ในฐานะตัวสำรอง และได้อยู่ในสนามเพียง 33 นาที กระทั่งถูกยกเลิกสัญญาหลังผ่านการแข่งขันไทยลีกเพียง 5 นัด
เทเรนซ์ ปูหิริ (อินโดนีเซีย - การท่าเรือ เอฟซี) - 4 คะแนน
ดาวโรจน์แดนอิเหนาที่ครึ่งหนึ่งเคยสร้างความฮือฮาบนโลกโซเชียล ตั้งแต่สมัยที่ค้าแข้งให้บอเนียว เอฟซี ในจังหวะที่เขาสปีดพาบอลค่อนสนามไปยิงประตูใส่มิตรา คูคาร์ คู่แข่งร่วมลีกจนถูกแชร์กระหน่ำ โยกมาร่วมทีมแห่งย่านคลองเตยคว้ามาเป็นตัวเลือกทางริมเส้นด้วยเวลา 1 ปี ทว่าจากโอกาสยังมีไม่มาก ทั้งเรื่องการปรับตัวเข้ากับลีกไทย ตลอดจนสิงห์เจ้าท่ามีขุมกำลังริมเส้นฝีเท้าดีรายหลาย ไม่ว่าจะเป็น นูรูล ศรียานเก็ม, ปกรณ์ เปรมภักดิ์ และ บดินทร์ ผาลา ทำให้โอกาสลงสนามของแข้งวัย 21 ปี มีเพียง 5 เกมในฐานะตัวสำรองทั้งสิ้น และมักถูกเปลี่ยนลงไปช่วงท้ายเกมนั่นทำให้เขามีเวลาอยู่ในสนามเพียง 54 นาที
ฮิคารุ มิเนกิชิ (ฟิลิปปินส์ - พัทยา ยูไนเต็ด) - 4 คะแนน
ตัวรุกลูกครึ่งฟิลิปปินส์-ญี่ปุ่น มีดีกรีเป็นถึงสตาร์ทีมชาติฟิลิปปินส์ชุดใหญ่ โดยเจ้าตัวเลือกเส้นทางในอาชีพค้าแข้งครั้งใหม่ในปี 2018 นี้กับสโมสรพัทยา ยูไนเต็ด ทว่าก็ยังเป็นแข้งโควตาอาเซียนอีกรายในปีนี้ที่ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง ฟอร์มของอดีตเด็กฝึกหักอุราวะ เรดส์ในนามทีมชาติสวนทางกับสโมสรชัดเจน ถึงตอนนี้เขาได้ลงเล่นเพียง 6 เกม รวมเวลา 132 นาที และเป็นตัวจริงเพียงเกมเดียวเท่านั้น
กีโก อินซา (มาเลเซีย - บางกอกกล๊าส เอฟซี) - 4 คะแนน
ปราการหลังชาวมาเลเซียเชื้อสายสเปนเคยผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในยุโรปมาแล้วทั้ง สเปน, เบลเยียม, เยอรมัน ขณะที่ในเอเชียก็ผ่านการเล่นในลีกสูงสุดของ มาเลเซีย กับ ปะหัง เอฟซี แถมยังสารพัดประโยชน์เล่นได้ทั้งเซนเตอร์ และมิดฟิลด์ตัวรับ กระทั่งปี 2018 แข้งวัย 30 ปี ตัดสินใจออกมาหาประสบการณ์ใหม่อีกครั้งกับบางกอกกล๊าส เอฟซี แม้จะอยู่กับทีมในฐานะโควตาอาเซียน แถมยังมีประสบการณ์ค้าแข้งโชกโชน ทว่าสุดท้ายแล้วแนวรับมาเลย์รายนี้กลับหาโอกาสสอดแทรกเป็น 11 ตัวจริงน้อยครั้ง โดยลงเล่นเป็นตัวจริง 2 นัด และสำรองอีก 2 นัด ทำไป 1 แอสซิสต์ ก่อนจะประกาศยกเลิกสัญญากับ บีจี หลังผ่านการแข่ง 10 แมตช์ และเลือกโยกไปเล่นให้ยะโฮร์ ดะรุล ต๊ะซิม ยักษ์ใหญ่ลีกสูงสุดแดนเสือเหลืองแทน
จอ โค โค (เมียนมา - สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด) - 4.5 คะแนน
อีกหนึ่งสตาร์ชื่อดังย่านอาเซียน ตัดสินใจเลือกมาค้าแข้งในไทยลีกหนแรก หลังฝ่ายจัดการแข่งขันกำหนดให้มีโควตาอาเซียนเป็นปีแรกกับสโมสรดังจากแดนล้านนา ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เอฟเอ คัพ 2017 และแม้จะมีโอกาสลงสัมผัสเกมไทยลีกมากถึง 7 นัด ทว่ากลับเป็นช่วงเวลารวมที่ได้อยู่โชว์ฝีเท้าเพียง 68 นาทีเท่านั้น มิหนำซ้ำยังกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่น่าจดจำ เพราะในเกมนัดที่ 9 ที่กว่างโซ้งเปิดบ้านดวลพัทยา ยูไนเต็ด โค โค โชคร้ายได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากจังหวะปะทะกับ สราวุธ กัลยาณบัณฑิต กองหลังพัทยา ยูไนเต็ด และจากการตรวจอย่างละเอียดพบว่าเอ็นเข่าด้านในฉีก หมอนรองกระดูกฉีก ปิดเทอมตลอดการเล่นในซีซันนี้แล้ว และอาจจะส่งผลกระทบกับทีมชาติเมียนมาในศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ปลายปีนี้ด้วย
กาเบรียล คว็อก (สิงคโปร์ - ราชนาวี) - 6 คะแนน
ดาวเตะทีมชาติสิงคโปร์ถูกทีมตะหานน้ำคว้ามาเสริมเกทรุกในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดนักเตะไทยลีกเมื่อต้นฤดูกาล และในช่วงแรกเขามักได้รับเลือกลงสนามเป็นตัวจริงบ่อยครั้ง ก่อนจะถูกดร็อปเป็นสำรองในยุคที่เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ เข้ามาคุมทีม กระทั่งกลับมายึดตำแหน่งสร้างเกมรุกอีกครั้งภายใต้กุนซือวิริยะ เผ่าพันธ์ุ เบ็ดเสร็จแล้ว หลังผ่านการแข่ง 17 นัด คว็อกในวัย 27 ปี ลงเล่นไป 11 นัด ยิง 2 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ โดย 1 ใน 2 ประตู ที่ทำใส่สุโขทัย เอฟซี ส่งผลให้เจ้าตัวก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสิงคโปร์คนแรกที่ทำประตูในลีกสูงสุดของไทย
มิชาล เหงียน (เวียดนาม - แอร์ฟอร์ซ เซนทรัล เอฟซี) - 6.5 คะแนน
แม้ผลงานโดยรวมของทีมลูกทัพฟ้าจะล้มเหลวถึงขั้นเก็บได้เพียง 5 แต้มตลอด 17 แมตช์ แต่หากดูฟอร์มโดยรวมของดาวเตะสารพัดประโยชน์ลูกครึ่งเวียดนาม-เช็กเป็นตัวหลักของทีมทันทีนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทัพ โดยเหงียน ได้รับโอกาสลงสนามต่อเนื่องทั้งในยุคของสะสม พบประเสริฐ มาจนถึงยุคของแอนดรู ออร์ด จากสถิติลงสนามมากถึง 14 แมตช์ และเป็นตัวจริงให้ทีมลงสนามครบ 90 นาทีถึง 10 เกม หนึ่งในนั้นคือนัดที่ทีมประเดิมสามแต้มแรกในฤดูกาลเหนือนครราชสีมา 1-0
ซูลฟาห์มี อารีฟิน (สิงคโปร์ - ชลบุรี เอฟซี) - 7 คะแนน
จากประสบการณ์ที่ติดทีมชาติสิงคโปร์ชุดใหญ่ ส่งผลให้ฉลามชลตัดสินใจรวบดาวเตะสารพัดประโยชน์รายนี้มาเสริมทัพสู้ศึกฤดูกาล 2018 ซึ่งจากจุดเด่นที่ดาวเตะทีมชาติสิงคโปร์สามารถเล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ ไปจนถึงแบ็คซ้าย ทำให้เขามีชื่อลงสัมผัสเกมไทยลีกได้ตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาล แต่หลังการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าผู้ฝึกสอน จากโกรัน บายัคทาเรวิช มาเป็น จักรพันธ์ ปั่นปี “ซูฟ” มีโอกาสลงเล่นน้อยลงกว่าเดิม ถึงตอนนี้ แข้งหมายเลข 23 มีชื่อลงเล่นไปแล้ว 10 นัด แบ่งเป็นตัวจริง 8 นัด สำรอง 2 นัด
มาร์ค ฮาร์ทมันน์ - (ฟิลิปปินส์ - อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด) - 7.5 คะแนน
กองหน้าลูกครึ่งอังกฤษ-ฟิลิปปินส์ เป็นอีกหนึ่งสตาร์ที่ทำผลงานส่วนตัวเด่นสวนทางกับฟอร์มของสโมสร เพราะจากสถิติที่เจ้าตัวลงเล่นให้อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ดตลอด 14 แมตช์ มาร์คยิงไปทั้งหมด 5 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 14 นัด แต่ยังไม่ทันจบเลกแรกเทพอินทรีกลับประกาศยกเลิกสัญญาก่อนจบเลกแรกพร้อมกับ 4 แข้งไทยในทีม แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ปรับตัวกับเมืองไทยได้แล้ว คราวนี้เป็น ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ตัดสินใจดึงตัวไปร่วมทัพทันทีทำให้เขายังคงโลดแล่นอยู่ในลีกเมืองไทยต่อไปในฤดูกาล 2018
ไมเคิล ฟาลเคสการ์ด (ฟิลิปปินส์ - ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด) - 8 คะแนน
นายประตูวัย 27 ปีตัดสินใจโยกมาค้าแข้งในภูมิภาคอาเซียนร่วมกับพลพรรคแข้งเทพ ที่ต้องการหาผู้รักษาประตูมือหนึ่งรายใหม่ ในฤดูกาล 2018 และถือเป็นการโยกมาค้าแข้งในอาเซียนหนแรกหลังอยู่เล่นให้ทีมในเดนมาร์กมาทั้ง บรอนด์บี้, โอบี โอเดนเซ และมิดทิลแลนด์ แม้ช่วงแรกในการแข่งไทยลีก ผลงานของมือกาวลูกครึ่งไทย-เดนนิชจะยังดูไม่เข้าที่ เสียประตูร่วมกับทีมแข้งเทพทุกนัด ทว่าพอถึงเกมที่ 9 ของซีซัน ฟาลเคสการ์ดเริ่มเรียกความมั่นใจเซฟช่วยทีมเก็บคลีนชีทแรกประเดิมซีซันในเกมบุกชนะการท่าเรือถึงถิ่น 3-0 จนถึงตอนนี้เขาถือเป็นอีกหนึ่งแกนสำคัญช่วยแข้งเทพผลงานเด่นรั้งรองจ่าฝูงชนิดเบียดบุรีรัมย์สนุก จากผลงานเก็บคลีนชีทมากถึง 6 แมตช์จาก 16 นัดที่ลงเฝ้าเสา
อ่อง ธู (เมียนมา - โปลิศ เทโร เอฟซี) - 10 คะแนน
อดีตดาวยิงเมียนมาดีกรีลุยบอลโลกชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ตัดสินใจย้ายจาก ยาดานาบอน มาร่วมทัพโปลิศ เทโร ในไทยลีก 2018 และเพียงโอกาสเกมลูกหนังอาชีพครั้งแรกในไทย เจ้าตัวประเดิมสกอร์แรกของตัวเองได้ทันทีในเกมเปิดสนาม จากนั้นก็เริ่มสร้างสรรค์เกมรุกจนกลายเป็นกองหน้าตัวต่ำ รวมถึงบทบาทช่วงหลังที่ถูกดันเป็นเพลย์เมกเกอร์เต็มตัว เขาประสานงานกับ ไมเคิล เอ็นดรี้รู้ใจถึงขั้นยิงรวมกันให้ทีมมังกรโลห์เงินไปแล้วถึง 21 ลูก (เอ็นดรี้ยิง 11 อ่องธูยิง 10) นอกจากจะติดลิสต์ดาวซัลโวอันดับที่ 6 แล้ว ดาวเตะวัย 22 ปี ยังรั้งตำแหน่งจอมแอสซิสต์อันดับ 2 ร่วมของลีกที่ 7 ครั้ง ตลอดการลงเล่น 16 แมตช์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงศักยภาพในการเล่นไทยลีกแบบชนิดที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว และมีลุ้นจะโดดเด่นต่อไปในช่วงเลกสองนี้