เหลืออีกเพียงไม่กี่วัน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด จะประเดิมสนามในเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2018 ด้วยการลงเตะรอบเพลย์ออฟพบกับ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม และ บาหลี ยูไนเต็ด ตามลำดับ เพื่อลุ้นโอกาสในกานกรุยทางสู่รอบแบ่งกลุ่ม
ด้วยเหตุนี้ ฟุตบอลไทรบ์ ประเทศไทย จึงขอพาย้อนไปชมผลงานของสโมสรจากไทย ในศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ยุคใหม่ ว่าแต่ละทีมโชว์ฟอร์มเป็นอย่างไรกันบ้าง
**หมายเหตุ เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ตัวแทนจากไทยผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มในระบบใหม่ที่ เอเอฟซี แบ่งเป็น 8 กลุ่มกลุ่มละ 4 ทีมรวม 32 ทีม เตะกันแบบพบกันหมด
กด NEXT เพื่อติดตาม
ปี 2012
ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากไทยได้เพียงโควตาเดียวเพื่อให้เล่นในรอบเพลย์ออฟ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก มาเป็น 1+1 นั่นคือบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์โตโยต้า ไทยลีก จะได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มทันที ส่วนอีก 1 ทีม ชลบุรี เอฟซี รองแชมป์โตโยต้า ไทยลีก จะได้เข้าไปในรอบเพลย์ออฟ
ซึ่งผลงานในรอบเพลย์ออฟของชลบุรีนั้น ดันพลาดท่าพ่ายให้กับ โปฮัง สตีลเลอร์ สโมสรจากเกาหลีใต้ไป 2-0 ทำให้ต้องหยุดเส้นทางถ้วยเอเชียไว้แค่นั้น
ส่วนบุรีรัมย์นั้น อยู่ในกลุ่มเอช ร่วมกับกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ (จีน), คาชิว่า เรย์โซล (ญี่ปุ่น) และ ชุนบุค ฮุนได (เกาหลีใต้) ซึ่งผลงานนั้นลงแข่งขันทั้งสิ้น 6 นัด ชนะ 2 แพ้ 4 เก็บไป 6 แต้ม ก่อนจะตกรอบด้วยการรั้งท้ายของกลุ่ม
ปี 2013
ในปีนี้เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติจากการเป็นแชมป์ลีกสูงสุด ส่วนบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดนั้น ได้เข้ามาเล่นในรอบเพลย์ออฟ
โดยในรอบเพลย์ออฟ ปราสาทสายฟ้าสามารถเอาชนะบริสเบน โรร์ ทีมจากออสเตรเลีย ด้วยการดวลจุดโทษ 3-0 ผ่านเข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ โดยอยู่กลุ่มอี ร่วมกับ เอฟซี โซล (เกาหลีใต้), เจียงซู เสิ่นตี้ (จีน) และเวกัลตะ เซนได (ญี่ปุ่น) แถมยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมด้วยการ ชนะ 1 เสมอ 4 แพ้ 1 เก็บไป 7 คะแนน เข้ารอบ 16 ทีมได้สำเร็จ และยังไม่หยุดแค่นั้น ในรอบน็อคเอ้าท์นั้น ก็ยังสามารถเอาชนะบุนยอดกอร์ ทีมจากอุซเบกิสถานไปได้ 2-1 ผ่านทะลุเข้ารอบ 8 ทีมพบกับ เอสเตก์ลาล จากอิหร่าน ทว่าก็ต้องหยุดเส้นทางไว้เพียงแค่นี้ หลังจากแพ้ไป 3-1
ส่วนกิเลนผยองนั้นได้เข้ามาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มอยู่ร่วมกับ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ (จีน), อุราวะ เรดส์ (ญี่ปุ่น) และ ชุนบุค ฮุนได (เกาหลีใต้) เก็บได้เพียงแต้มเดียวจากการแข่งขัน 6 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ไปถึง 5 นัด ตกรอบด้วยการรั้งท้ายของกลุ่มเอฟ
ปี 2014
ประเทศไทยได้โควตาเล่นถ้วยเอเชียเพิ่ม จากการที่บุรีรัมย์ สร้างผลงานยอดเยี่ยมในปีก่อนหน้านี้ จาก 1+1 เป็น 1+2 (ใช้มาถึงปัจจุบัน) โดยบุรีรัมย์ ก็ยังผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติในฐานะแชมป์ลีกสูงสุด ส่วนเมืองทองนั้น ได้ผ่านเข้ามาเล่นรอบเพลย์ออฟ จากการเป็นรองแชมป์ไทยลีก และเนื่องจากบุรีรัมย์ เป็นแชมป์เอฟเอคัพ ที่เป็นอีกหนึ่งโควตาที่ได้มาเล่นในถ้วยเอเชียนั้น ทำให้ตั๋วใบสุดท้ายตกไปอยู่ในอันดับ 3 ของไทยลีกแทน
ในส่วนผลงานของรอบเพลย์ออฟนั้น ในรอบสองเมืองทองและชลบุรี ต่างเอาชนะคู่แข่งมาได้ทั้งคู่ แต่ว่าในด่านสุดท้ายที่จะได้ผ่านไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มนั้น กลับพ่ายกันทั้งคู่ กอดคอกันตกรอบไปแบบน่าเสียดาย
ส่วนบุรีรัมย์ ที่ได้เข้ามาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มนั้น อยู่สายเดียวกับโปฮัง สตีลเลอร์(เกาหลีใต้) , เซเรโซ โอซาก้า (ญี่ปุ่น) และ ซานตง ลู่เนิง(จีน) ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 2 เก็บไป 6 แต้ม อยู่นอันดับสามของตารางทำให้ต้องหยุดเส้นทางถ้วยเอเชียไว้ที่รอบแบ่งกลุ่ม
ปี 2015
ในปีนี้ขาประจำอย่างเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พลาดที่จะได้เข้ามาเล่นในถ้วยเอเชีย แต่กลับได้เห็นน้องใหม่อย่างบางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ได้โควตาเข้ามาเล่นในรอบเพลย์ออฟปีนี้จากการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ส่วนบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ยังได้สิทธิ์เข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มทันทีจากการเป็นแชมป์ลีก ส่วนอีกโควตาในรอบเพลย์ออฟเป็นของชลบุรี เอฟซี ซึ่งผลงานของกระต่ายแก้วและฉลามชล นั้นก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ทำได้เพียงเล่นในรอบเพลย์ออฟเท่านั้น
ส่วนบุรีรัมย์ อยู่ในกลุ่มเดียวกับกัมบะ โอซาก้า (ญี่ปุ่น), ซองนัม เอฟซี (เกาหลีใต้) และ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ (จีน) ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 2 มี 10 แต้มเท่ากับกัมบะ และ ซองนัม แต่ว่าประตูได้เสียบุรีรัมย์นั้นกลับไม่ดีสุด ทำให้ต้องตกรอบบไปแบบน่าเสียดาย
ปี 2016
เป็นอีกปีที่บุรีรัมย์ ยังได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติ ส่วนอีกสองทีมที่เข้ามาเล่นในรอบเพลย์ออฟ เป็นการกลับมาเล่นในถ้วยเอเชียอีกครั้งของั้งสองทีมอย่างเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และชลบุรี เอฟซี ที่ส้มหล่นได้โควตาเล่นถ้วยเอเชียแทนสุพรรณบุรี เอฟซี ที่สนามไม่ผ่านการตรวจ
และก็เป็นอีกครั้งที่ 2 สโมสรไทยอย่างเมืองทอง และชลบุรี ไม่สามารถผ่านรอบเพลย์ออฟเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ
ส่วนบุรีรัมย์นั้น ถือว่าเป็นปีที่ฝันร้ายของทีมเลยก็ว่าได้ จากผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในการเล่นถ้วยเอเชียที่ผ่านมา โดยอยู่ร่วมกับเอฟซี โซล (เกาหลีใต้), ซานตง ลู่เหนิง (จีน) และซานเฟรชเช ฮิโรชิมา (ญี่ปุ่น) ทำได้เพียง เสมอ 1 แพ้ถึง 5 นัด เก็บได้เพียงแต้มเดียว และเสียไปถึง 16 ประตู ตกรอบไปในที่สุด
ปี 2017
เป็นปีที่วงการลูกหนังไทยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายพอสมควร จากการยุติการแข่งขันกลางคัน และส่งผลกระทบต่อโควตาในการไปเล่นในถ้วยเอเชีย โดยปีนี้เป็นเมืองทอง ที่ได้สิทธิ์ไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติ ส่วนอีก 2 ทีมที่ได้ไปเล่นในรอบเพลย์ออฟได้แก่ สุโขทัย เอฟซี น้องใหม่ที่เพิ่งสัมผัสในฟุตบอลรายการนี้ และ แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ได้กลับมาเล่นในรอบเกือบสิบปี
ทว่าในรอบเพลย์ออฟยังคงเป็นอาถรรพ์สำหรับสโมสรในไทยที่ทั้งสองทีมยังไม่สามารถเอาชนะเข้าไปแย่งพื้นที่ในรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จอีกครั้ง
ส่วนเมืองทอง นั้น อยู่ร่วมสายกับคาชิมา แอนท์เลอร์ส (ญี่ปุ่น), อุลซาน ฮุนได( เกาหลีใต้) และ บริสเบน โรร์ (ออสเตรเลีย) และสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจากการเอาชนะไปได้ทั้งสิ้น 3 นัด เสมอ 2 แพ้เพียงแค่นัดเดียว ผ่านเข้าไปเล่นรอบน็อคเอ้าท์เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ทว่าในรอบต่อมา กลับโดนคาวาซากิ ฟรอนตาเล ถล่มไปด้วยสกอร์รวม 7-2 ตกรอบไปในที่สุด
ปี 2018
ในปีนี้ บุรีรัมย์ คัมแบ็คถ้วยเอเชียอีกครั้ง จากการคว้าแชมป์ไทยลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และอยู่ร่วมสายกับ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ จากจีน, เจจู ยูไนเต็ด ทีมจากเกาหลีใต้ และเซเรโซ โอซาก้า จากญี่ปุ่น
ส่วนอีกสองทีมที่ได้ตั๋วเข้ามาเล่นในรอบเพลย์ออฟ ได้แก่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่จะมีโปรแกรมนัดแรกพบกับ ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม ทีมจากมาเลเซีย ที่ปีที่แล้วถล่มแบงค็อกแบบยับเยิน และอีกทีมเป็นสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่จะได้สัมผัสฟุตบอลรายการนี้เป็นครั้งแรก และนัดแรกจะพบกับ บาหลี ยูไนเต็ด ซึ่งในรอบเพลย์ออฟจะแข่งขันในวันที่ 23 มกราคมนี้ ก็ต้องมาดูกันว่าปีนี้ตัวแทนจากแดนสยามจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน?