อิหร่าน
ตัวแทนจากโซนตะวันออกกลางผ่านเข้ามาเล่นในรอบ 3 ได้จากผลงานการเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม ดี ในเกมรอบ 2 ที่มีโอมาน, เติร์กเมนิสถาน, กวม และอินเดีย เป็นคู่ต่อกรร่วมสาย เก็บได้ 20 แต้มจาก 8 เกม แบ่งเป็นการชนะ 6 เสมอ 2 จนถูกจับให้เป็นทีมวางโถ 1 ร่วมกับ ออสเตรเลีย ในการประกบคู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย
แม้คู่แข่งในสายเอ จะมีทั้งเกาหลีใต้, อุซเบกิสถาน, ซีเรีย, กาตาร์ และจีน ที่ล้วนเป็นชาติที่แข็งแกร่งในระดับทวีป ทว่าลูกทีมของคาร์ลอส เคย์รอซ อดีตผู้ช่วยเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานความสม่ำเสมอตลอด 10 เกมในรอบดังกล่าว จากผลงานชนะ 6 เสมอ 4 เก็บ 22 แต้ม โดยเฉพาะการเก็บชัยชนะสำคัญเหนือคู่แข่งลุ้นเข้ารอบอย่างเกาหลีใต้ 1-0 ในเกมนัด 4 เริ่มเป็นการจุดประกายความหวังของ สิงห์ทะเลทรายกับโอกาสลุ้นเข้ารอบขึ้นมาทันที
ก่อนจะเดินหน้าเก็บเพิ่มหลังจากนั้นอีก 7 คะแนน ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติแรกในเอเชียและชาติที่สองต่อจากบราซิลที่คว้าตั๋วลุยบอลโลกกลางปีหน้าที่รัสเซีย การันตีโอกาสดังกล่าวได้ตั้งแต่เกมการแข่งขันนัดที่ 8 จากชัยชนะเหนืออุซเบกิสถาน 2-0