ย้อนกลับไปในสมัยฟุตบอลโลก 1966 ที่อังกฤษ เกาหลีเหนือทำเซอร์ไพร์สผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้เป็นหนแรกในฐานะตัวแทนหนึ่งเดียวจากเอเชีย และทำผลงานทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย (พ่ายโปรตุเกส 3-5) อีกทั้งยังผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2010 ณ ดินแดนแอฟริกาใต้ และแม้จะไม่สามารถกำชัยได้ตลอด 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ทว่าขุนพลโสมแดงชุดนั้นมีชื่อใส่สกอร์ในเกมพ่ายบราซิล 1-2 ในเกมแรกของรอบดังกล่าวมาแล้ว
แต่หลังจากนั้นพวกเขาเริ่มมีผลงานที่ย่ำแย่ เห็นได้จากการจอดรอบแรกในเอเชียนคัพ รอบสุดท้าย ปี 2011 อันดับแรงกิ้งเฉลี่ยตกฮวบลงไปถึง 138 ในปี 2013 และ 150 ในปี 2014 ปิ๋วรอบแรกของเอเชียนคัพ 2015 รวมถึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้ายของการคัดบอลโลก 2018 ได้ จากผลงานจบอันดับสองที่ดีที่สุดเป็นลำดับ 5 (เอา 4 อันดับแรกผ่านเข้ารอบ)
จากผลงานทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมาคมฟุตบอลของประเทศ กลับมามองถึงความตั้งใจที่จะสร้างทีมเพื่อให้กลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งในระดับภูมิภาค ต่อกรกับชาติทวีปได้สูสีเฉกเช่นช่วงก่อนหน้าอีกครั้ง ผ่านเป้าหมายในเอเชียน คัพ 2019 รวมถึงสานต่อภารกิจใหญ่ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 3 ด้วยภารกิจลงเล่นในเวิลด์คัพ 2022 ให้ได้
กระทั่งวันที่ 19 พฤษภาคม 2016 พวกเขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาใช้บริการโค้ชชาวต่างชาติเป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ (ก่อนหน้านี้มีพาล แชร์ไน โค้ชชาวฮังการีคุมทีมเมื่อปี 1993-1994) ด้วยการแต่งตั้ง “ยอร์น อันเดอร์สัน” หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวนอร์เวย์ ที่เคยมีดีกรีผ่านการเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในลีกเยอรมันกับสโมสรไมนซ์ 05, คาร์ลสรูห์ รวมถึงการคุมทีมในออสเตรียกับสโมสรออสเตรีย ซัลบวร์ก เข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 1 ปี (ปัจจุบันถูกยืดสัญญาเพิ่มไปจนถึงเดือนมีนาคม 2018) เพื่อทำภารกิจทั้ง 2 ให้ลุล่วงตามเป้า
อะไรเป็นสาเหตุที่อดีตกองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ตัดสินใจมาคุมหนึ่งในชาติที่เน้นการพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก และหลังจากที่เดินทางมายังดินแดนเอเชียตะวันออกนี้ เขามีเป้าหมายในการเตรียมทีมรวมทั้งมองวงการลูกหนังของประเทศว่าอย่างไรบ้าง เรื่องราวต่อไปนี้คือคำกล่าวของเทรนเนอร์วัย 54 ปี ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการเปิดเผยเรื่องราวนอกสนามกับสื่อนอกประเทศมากที่สุดครั้งหนึ่ง
“ผมมาถึงกรุงเปียงยางเมื่อเดือนพฤษภาคม (2016) ผมอาศัยอยู่ที่นั่น ผมทำงานให้ทีมชาติที่เหมือนกับทีมสโมสร และผมพอใจกับสถานการณ์เช่นนี้นะ เมื่อปลายปี 2015 ตอนนั้นผมยังเป็นโค้ชที่ออสเตรีย ซัลส์บวร์กอยู่เลย จู่ๆมีนักธุรกิจจากเยอรมันเรียกผมไปคุยว่าสนใจไปเป็นโค้ชให้ทีมในเอเชียอย่างเกาหลีเหนือหรือไม่”
ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาหลีเหนือ หนึ่งในชาติที่แทบจะปกปิดข้อมูลข่าวสารภายในประเทศ นอกเหนือไปจากการปรากฏของข่าวการทหาร พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาวุธสงคราม หรือแม้แต่คลิปวิดีโอแสดงความจงรักภักดีของผู้นำประเทศ ที่ออกมาสู่สายตาคนทั่วโลก ทั้งหมดนี้นับเป็นสิ่งที่อันเดอร์สันใช้เวลาคิดอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะมีโอกาสพูดคุยกับสมาคมฟุตบอลเกาหลีเหนืออย่าง PRKFA (DPR Korea Football Association) บ่อยครั้ง จนเชื่อว่าพวกเขาแสดงความตั้งใจที่จะพัฒนาวงการลูกหนังของประเทศไปสู่อีกระดับ จึงเป็นเหตุให้การตัดสินใจโยกมาคุมทีมในเอเชีย และเป็นการคุมทีมชาติหนแรกของตัวเองเกิดขึ้น
“ตอนแรกผมรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับคำถามนี้มากนะ (สนใจคุมทีมชาติเกาหลีเหนือหรือไม่?) แต่หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งและมีโอกาสได้คุยกับสมาคมฟุตบอลเกาหลีเหนืออยู่หลายครั้ง ผมจึงตัดสินใจไปที่นั่น ผมเองก็เป็นแฟนคลับของฟุตบอลในเอเชียอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมงานกับนักเตะชาวเอเชียหลายคน และผมก็ชอบความคิดของพวกเขา ดังนั้น สำหรับผมแล้วนี่ถือเป็นความฝันที่จะได้ไปเอเชีย”
“ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับประเทศ เพราะถ้าไม่สำคัญจริงๆ พวกเขาคงไม่ต้องการนำโค้ชต่างประเทศมาคุมทีมชาติหรอก”
แน่นอนว่าเกาหลีเหนือไร้ความสำเร็จมานาน นับตั้งแต่ลงเตะฟุตบอลโลก 2010 และการเริ่มคุมทีมโสมแดงหนแรกของเจ้าตัวก็คือการเตรียมทีมตามเป้าที่วางร่วมกัน นั่นคือการเตรียมทีมเพื่อกลับไปเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำอีกครั้ง กับภารกิจผ่านเข้าสู่เอเชียน คัพ 2019 ไปจนถึงการเตรียมทีมลุยบอลโลก 2022
ซึ่งอันเดอร์สันก็เชื่อว่าบรรดาขุมกำลังชุดปัจจุบัน ที่ยังคงผสมผสานตัวผู้เล่นมากประสบการณ์ทั้ง รี เมียง กุ๊ก นายด่านวัย 30 ปีที่มีดีกรีติดทีมชาติมากสุด (76 นัด), พัค ซอง โชล แข้งวัย 29 ปี และบรรดาดาวรุ่งทั้ง จาง กุก โชล แนวรับวัย 23 ปี รวมถึงคิม จู ซอง จากชุด U23 ลงสนามในยุคที่ตนคุมทัพ มีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม และถ้าความสามารถเหล่านี้ถูกขัดเกลาตามแบบแผน ขุนพลโสมแดงก็มีสิทธิ์จะกลับไปยืนในตำแหน่งที่เคยยืนอีกครั้งได้
“สำหรับเอฟเอของประเทศนี้ การเตรียมทีมเข้าร่วมการแข่งขันในเอเชียนคัพ รอบสุดท้าย รวมถึงการเล่นบอลโลกที่กาตาร์เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ เมื่อผมมาถึงที่นั่น(เกาหลีเหนือ) ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าจะได้เห็นอะไรบ้าง แต่ผมรู้สึกประหลาดใจมากกับคุณภาพของนักฟุตบอล”
“นักฟุตบอลชาวเกาหลีเหนือมีเทคนิคการเล่นที่ยอดเยี่ยม และพวกเขาก็มีทัศนคติที่ดีมากๆเช่นกัน เราเริ่มจากการฝึกซ้อมทางในเรื่องสภาพร่างกายเป็นสิ่งแรก ก่อนจะเริ่มซ้อมเรื่องเทคนิคต่อ และทั้งหมดนี้ผมคิดว่าเราทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องทุกอย่าง และนำไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยาก”
เทรนเนอร์จากดินแดนสแกนดิเนเวียมีสถิติคุมเกาหลีเหนือไปแล้ว 11 เกม (ยึดสถิติล่าสุดในเกมชิงที่สามของฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 45) แบ่งเป็นการเก็บชัยชนะได้ 5 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ 3 นัด ซึ่งชัยชนะ 3 จาก 5 เกมของเจ้าตัว คือการพาทีมเก็บ 9 คะแนนเต็มเหนือฮ่องกง, ไต้หวัน และกวม ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลชิงแชมป์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่าง “East Asian Championship” ปลายปีนี้ได้สำเร็จ
ขณะที่ผลพ่ายแพ้ จำนวน 2 ใน 3 นัด เป็นการปราชัยต่อชาติในอาเซียนทั้งเวียดนาม (เกาหลีเหนือแพ้ 2-5) และแพ้ไทยในรายการชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 45 ท่วมท้น 3-0 ส่วนอีกหนึ่งนัดเป็นการดวลจุดโทษพ่ายบูร์กินาฟาโซ 3-4 นอกจากนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ในเส้นทางการลงเล่นในเกมรอบคัดเลือกของเอเชียนคัพ 2019 หลังเพิ่งลงแข่งกับฮ่องกงเพียง 1 นัดเท่านั้น (เสมอ 1-1)
ปัจจุบันเส้นทางการคุมทีมชาติเกาหลีเหนือของอันเดอร์สัน ผ่านมาเกิน 1 ปีแล้ว แน่นอนว่าการเข้ามาของเขาถือเป็นการยกระดับชาติที่ได้รับการมองผิวเผินว่าเป็นฟุตบอลสไตล์วิ่งสู้ฟิตตลอดเวลา 90 นาทีให้เป็นที่รู้จักสู่สายตาแฟนบอลทั่วโลกมากขึ้นกว่าก่อน และอดีตดาวซัลโวบุนเดสลีก้ารายนี้ก็หวังว่าจะนำกีฬาลูกหนังของหนึ่งในประเทศลึกลับของสายตาชาวโลกนี้เชื่อมเข้ากับความสัมพันธ์ร่วมกับชาติอื่นๆให้ได้มากที่สุด
“กีฬาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ดังนั้น ผมจึงมีความสุขที่ได้เดินอยู่บนเส้นทางนี้”
ที่มาของบทสัมภาษณ์ : Reuters