เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก คือฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่ที่สุดของสโมสรเอเชีย หลังจากที่ เอเอฟซี ได้ลองจัดการแข่งขันในชื่อรายการอื่นๆทั้ง เอเชี่ยน แชมเปี้ยนส์คลับทัวร์นาเม้นท์ และ เอเชี่ยนส์ แชมป์เปี้ยนส์ชิพ คลับ จนมาเปลี่ยนเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และสโมสรดังของไทยหลายทีม เคยเป็นตัวแทนของไทย ไปแข่งขันในรายการนี้
และทีมที่เกือบจะคว้าความสำเร็จมาครองในสมัยแรกที่มีการแข่งขันคือ บีอีซี เทโรศาสน ยุคเรืองอำนาจในยุทธจักรลูกหนังไทย ณ ขณะนั้น และสามารถต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ ในทวีปจนเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ แต่น่าเสียดายที่ พ่ายแพ้ให้แก่ อัล ไอน์ในรอบชิงชนะเลิศ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้สโมสรจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ว่า นักเตะไทย หนึ่งคน ประสบความสำเร็จในรายการนี้ และสร้างชื่อด้วยการคว้าตำแหน่ง MVP หรือผู้เล่นทรงคุณค่ามาครอง เขาคือ เทิดศักดิ์ ใจมั่น โค้ชแอนด์ เพลเยอร์ ของชลบุรี เอฟซี คนปัจจุบัน
“มันก็เป็นทัวร์นาเมนต์ที่เราไม่ได้คาดหวังตั้งแต่ทีแรก แถมทีมเราอยู่ในสายที่หนักพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นทั้งจีน เกาหลี และญี่ปุ่น” เทิดศักดิ์ ในวันนั้นที่กลายเป็นน้าเทิดของหลายๆคนในวันนี้ กล่าวกับ Football Tribe Thailand
โดยในการแข่งขันของศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีกในปีแรกยังใช้ระบบเจ้าภาพในรอบแบ่งกลุ่ม และเหย้าเยือนในรอบน็อคเอ้าท์ ซึ่ง บีอีซี เทโรศาสน ตัวแทนจากไทย อยู่ร่วมสายกับทีมแกร่งจากทวีปอย่างคาชิมา อันท์เลอร์ส จากเจลีก, เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว จากจีน และ แดยอน ซิติเซน จากเกาหลีใต้
“ตอนแรกเราหวังว่าจะทำผลงานให้มันดี ไม่ได้ต้องไปลุ้นเขารอบลึกๆ แต่ว่าพอแข่งขันไปนัดแรก เราเสมอกับคาชิมา แอนท์เลอร์ส ทำให้เราคิดว่าเราก็สู้ได้ ไปเจอกับเกาหลีก็ชนะ ทำให้เกมสุดท้าย เราต้องเก็บชัยชนะอย่างเดียว และเราก็มาชนะจีนเข้ารอบ”
ก่อนลงเล่นเกมนี้ทีมมังกรไฟต้องการเพียงชัยชนะเท่านั้นเพื่อต้องการเข้ารอบต่อไป และคนที่ยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกม ก็คือ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ที่ลากเลื้อยจากทางด้านขวาแล้วตัดเข้าไปยิงอย่างเฉียบขาดให้ ทีมจากอาเซียนเอาชนะทีมจากแดนมังกร คว้าแชมป์กลุ่มตีตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศทันทีจน เอเอฟซี ต้องส่งคนมาสัมภาษณ์จังหวะดังกล่าวและเพิ่งเผยแพร่ไปไม่นาน
“เกมนี้เราต้องการเอาชนะแต่ว่าตอนนั้นแข่งไปถึงนาทีที่ 86 แล้วยังเสมอ 1-1 ผมจำได้ผมเลี้ยงฟุตบอลและยิงนอกกรอบเขตโทษ ทำให้เกมนั้นเราชนะเชียงไฮ้ เซิ่นหัวไป 2-1 เข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ”
“ถ้าเราแพ้ หรือเสมอเราในเกมนั้น ก็จะไม่เข้ารอบ อาจจะเป็น คาชิม่า หรือ แดยอน ซิติเซน ที่รอบแทน ซึ่งเกมนั้นทำให้ผมมีความสุขมากๆ”
“สำหรับการถูกเอเอฟซี มาขอสัมภาษณ์มันก็รู้สึกดีใจอยู่แล้ว เขาคงจำได้ เพราะช่วงนั้นเราก็ได้นักเตะยอดเยี่ยมหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นไทเกอร์คัพ และเอเอฟซี แชมป์เปียนส์ ลีก เขาก็คงจำได้”
ในการแข่งขันในปีแรกมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน 16 ทีม และต้องการเพียงแค่แชมป์ของแต่ละสายเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ เท่ากับว่า บีอีซี เทโรศาสน เหลือบันไดอีกเพียงแค่ 2 ชั้นเท่านั้นให้ปีน
“ซึ่งการแข่งขันเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีกในช่วงแรก เรายังโชคดีที่เราไม่มีรอบ 16 ทีม พอหลุดไปเราไปเจอกับทีมอาหรับเลย ซึ่งเราก็เจอกับทีมชาติอุซเบกิสถานเกือบทั้งทีม ทำให้เรามีความหวังขึ้นมาอีก ยิ่งเข้าชิงทำให้เรามีความหวังมาก เราเจอทีมในยูเออีก็ไม่น่าจะหนักมาก แต่แมตช์แรกทำได้ไม่ดี บุกไปแพ้เขาถึงถิ่น 2-0 แต่พอกลับมาเราก็สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ไม่ทัน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดี”
แม้ว่า บีอีซี เทโรศาสน จะไม่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์สมัยแรกมาครองได้ แต่อย่างน้อยนักเตะในทีมอย่างเทิดศักดิ์ ใจมั่น ก็คว้ารางวัลอันน่าภาคภูมิใจมาครองได้ ด้วยการคว้าตำแหน่ง ผู้เล่นทรงคุณค่าหรือ MVP ในการแข่งขันครั้งแรก และเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวนับจนทุกปัจจุบันนี้
“ช่วงที่ได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมคนแรกของทัวร์นาเมนต์นี้ ถือว่าโชคดีด้วย เป็นช่วงที่รักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นได้ดีด้วย ตอนนั้นรู้สึกว่าจะอายุ 28 ถือว่าเป็นช่วงพีคก็ว่าได้ ตอนนั้นผมทองเลย หล่อเลย (หัวเราะร่วน) เป็นเกียรติประวัติของตัวเอง และภูมิใจมาก”
และหลังจากวันที่ เทิดศักดิ์ เดินออกจากสนามราชมังคลาพร้อมกับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า มีเพียงแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ไปได้ไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และ ในปีล่าสุด เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ผ่านไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนตกรอบด้วยน้ำมือของ คาวาซากิ ฟรอนทาเล
“จากแต่ก่อนไม่มีบอลอาชีพ มีโค้ชคนเดียว ไม่มีนักฟิตเนส ไม่มีนักกายภาพ ไม่มีโค้ชประตูต่างประเทศมาใช้ ด้วยเม็ดเงินที่เรามีอยู่ แต่สมัยนี้มีพร้อมมากมาย มีนักบอลต่างชาติเก่งๆมากมาย แต่ก่อนทีมมีนักเตะต่างชาติคนเดียว แต่เดียวนี้ทีมหนึ่งมีตั้ง 3-4 คน ทำให้มาตรฐานมันสูงขึ้น แต่ต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลี เขาก็มีการพัฒนาเช่นกัน ทำให้ไม่ง่ายที่จะให้เราเข้ารอบไปลึกๆได้”
จากวันนั้นถึงวันนี้การแข่งขันรายการที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียในระดับสโมสรพัฒนาต่อเนื่องทั้งรูปแบบการจัดการแข่งขัน และคุณภาพของทีม และนักเตะ ที่มีนักเตะระดับโลกต่างตบเท้าเข้ามาลงเล่นในรายการนี้ให้แฟนบอลชาวเอเชียได้ชื่นชมฝีเท้า ซึ่งอดีต MVP ครั้งแรกพูดถึงความแตกต่างว่า
“ตอนนี้มันมีทีมดีๆขึ้นมาเยอะ ผู้เล่นระดับโลกมาเล่นในเอเชียก็เยอะเช่นกัน ทำให้ลีกมาตรฐานมันสูงขึ้น แต่เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันมากแค่ไหน เพราะรูปแบบการจัดการสมัยนี้มันต้องดีกว่าอยู่แล้ว เพราะมีการเปลี่ยนแปลงกลายอย่าง”
นอกจากนี้อดีตยอดนักเตะที่ทุกวันนี้พัฒนาตัวเองเป็น กุนซือของทีมใหญ่แถวหน้าของเมืองไทยยังมองอนาคตของทีมจากไทยในรายการนี้เอาไว้
“เราต้องมีตัวต่างชาติดีๆ และนักบอลต้องพัฒนาศักยภาพ รวมไปถึงหลายๆทีมเริ่มใช้ตัวเยาวชนมากขึ้น แต่อาจจะไม่ใช่ปีหรือสองปีนี้ อาจจะต้องใช้เวลา และเป็นจังหวะของฟุตบอลแต่ละสโมสรด้วย อาจจะเป็นช่วงท็อปฟอร์มของสโมสรนั้นๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวต่างชาติจะช่วยทีมได้เยอะมาก ถ้าเราดูจากทีมต่างประเทศ เขาใช้ตัวต่างชาติระดับโลก ตรงนั้นสำคัญมาก”
และทิ้งท้ายด้วยการฝากไปถึงนักเตะไทย ที่หวังจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะไทยที่คว้าตำแหน่ง MPV คนที่สองต่อจากเขาเอาไว้ว่า
“อันดับแรกเราต้องพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศให้ได้ก่อน เพราะคิดว่าคนเขาจะต้องดูถึงรอบชิงชนะเลิศนั่นแหละ“
“อันดับแรกเราต้องมีวินัยในการฝึกซ้อมและการแข่งขันด้วย และพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เน้นตัวต่างชาติปรับจูนให้เข้ากับระบบให้ได้มากที่สุด พยายามเรียนรู้เยอะๆ แต่วินัยของตัวเองสำคัญมาก เพราะนักเตะบางคนวินัยยังไม่ได้เท่าไหร่ ถ้าเราอย่างพวกทีมชั้นนำเอเชีย จะเห็นได้ว่าวินัยเขาเป๊ะมาก ทั้งในและนอกสนาม ทำให้เขาสามารถทำทีมให้แข็งแกร่ง และพร้อมสู้กับทุกทีมที่เจอได้”
สำหรับทีมจากไทยยังได้โควตาในการลงเล่น 1 ทีมที่จะผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติคือแชมป์ โตโยต้า ไทยลีก และอีกสองโควตาเพลย์ออฟสำหรับรองแชมป์ไทยลีก และ แชมป์เอฟเอคัพ ก็ต้องติดตามกันว่าทีมจากไทยจะไปได้ไกลแค่ไหนในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียรายการนี้