เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ทีมชาติไทย

5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากเกม มาเลเซีย เสมอ ไทย 0-0 เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 รอบรองชนะเลิศ เลก 1

ทีมชาติไทยยันเสมอเจ้าบ้าน มาเลเซีย แบบหืดจับ 0-0 ในรอบรองชนะเลิศ ศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ เลก 1 และนี่คือ 5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากค่ำคืนแสนวิเศษ (สำหรับแฟนบอลเจ้าถิ่น) จากสนามบูกิต จาลิล

เป็นอีกครั้งที่ทีมชาติไทยเริ่มเกมเยือนได้อย่างอืดอาด

ในรอบแบ่งกลุ่ม ทีมชาติไทยออกสตาร์ทเกมเยือนกับ ฟิลิปปินส์ ได้อย่างอืดอาด ปล่อยให้เจ้าบ้านเป็นผู้คุมจังหวะเกม มีโอกาสเข้าทำหลายครั้งจนได้ประตูขึ้นนำไปก่อน

กลับมายังเกมเมื่อวานกับ มาเลเซีย แข้ง “ช้างศึก” ก็ยังคงเริ่มเกมได้อย่างเอื่อยเฉื่อย ออกบอลกันขาดๆ เกิดๆ ในจังหวะขึ้นเกม เป็นเป้าเกมเพรสซิ่งของเจ้าบ้านและหากพวกเขาคมหรือเก๋าประสบการณ์กว่านี้คงนำเราไป 1-2 ลูกตั้งแต่ครึ่งแรกแล้ว

หลังเกม โค้ชมิโลวาน ราเยวัช ให้สัมภาษณ์กับ fathailand ถึงข้อบกพร่องนี้ว่า “ปัญหาทีมจากอาเซียนก็คือเวลาออกไปเล่นเกมเยือน จะไม่รักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นเหมือนเกมในบ้าน ซึ่งตรงนี้ผมก็จะพยายามปรับให้ได้”

เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ ราเยวัช พูดนั้นจริงมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าทั้งนักเตะ สตาฟโค้ช ฝ่ายจัดการ รวมถึงแฟนบอลเห็นพร้อมกันคือ ทีมชาติไทยต้องออกสตาร์ทเกมเยือนให้ดีกว่านี้ หากฝันจะยกมาตรฐานตัวเองให้เหนือกว่าระดับอาเซียน

พลัง “เสือเหลือง” ตัวที่ 12

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่ มาเลเซีย เริ่มเกมได้อย่างดุดันเหลือเกินก็เพราะแฟนบอลที่เข้ามาให้กำลังจัดกันเต็มสนาม เปรียบเสมือนเสือตัวที่ 12 ซึ่งพร้อมสู้ พร้อมลุยเคียงข้างนักเตะตลอด 90 นาที

การเล่นรอบรองและรอบชิงด้วยระบบเหย้าเยือน ทำให้เกมในบ้านแต่ละชาติมีค่าอย่างมากและแมตช์ที่ผ่านมา กองเชียร์ มาเลเซีย ก็ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ เกินกว่าที่ทุกฝ่ายหวังไว้แล้ว

ไม่ขณะเดียวกัน แฟนบอลเกือบแสนวันนั้นไม่ได้เดินทางมายังสนามราชมังคลากีฬาสถานด้วย และแม้นักบอลจะพูดเสมอว่า “เล่น 11 คนเท่ากัน” แต่เราก็เห็นแล้วว่าแฟนบอลสามารถกดดันผู้เล่นฝั่งตรงข้ามได้แค่ไหน

เพราะฉะนั้นวันพุธนี้คือทีของแฟนบอลไทยบ้างแล้วล่ะ ไปช่วยส่งกำลังใจ สร้างความได้เปรียบบ้าง อย่าให้น้อยหน้าคู่แข่งครับผม

เป็นวันที่ไม่ดีสำหรับตัวสำรองไทย

การตัดสินใจเปลี่ยนตัว ปกเกล้า อนันต์ ลงเล่นตั้งแต่ต้นครึ่งหลังถือเป็นการคิดเร็วทำเร็วจนเกือบได้ผล มิดฟิลด์ “แข้งเทพ” ลงมาเพิ่มจำนวนผู้เล่นบริเวณแดนกลาง ช่วยให้ ไทย สู้กับ มาเลเซีย สูสีขึ้น แถมเจ้าตัวยังมีจังหวะสอดขึ้นไปเติมเกมรุกหลายครึ่งแต่น่าเสียดายที่ไม่มีจังหวะจบสกอร์

อย่างไรก็ตาม สำรองคนที่ 2 อย่าง ปกรณ์ เปรมภักดิ์ กลับไม่สร้างความแตกต่างอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกจับได้เล่นทางฝั่งซ้าย โอเคละ ไม่แน่โค้ช ราเยวัช อาจต้องการใช้ลูกเปิดจากเท้าขวาของ ปกรณ์ ซึ่งมันโค้งเข้าหาประตู ตกตรงพื้นที่เสา 2 ซึ่ง ฐิติพันธ์ กับ ปกเกล้า เติมมาบ่อยครั้ง...หรือเปล่า? ต้องชมที่กล้าลอง เพียงแต่มันไม่เวิคจริงๆ

สุดท้ายคือ ชนานันท์ ป้อมบุปผา ที่ลงมาในนาทีที่ 90 แทบจะทำอะไรไม่ได้นอกจากดึงเวลา หากกุนซือชาวเซอร์เบีย ต้องการลุ้นประตูจริงๆ เปลี่ยนกล้านี้สัก 10 นาที ก็คงจะดี เชื่อว่านักเตะและแฟนบอลคงเข้าใจ

รับมือเกมโต้กลับไทยด้วย “สวีปเปอร์ คีปเปอร์”

ทีมชาติไทยอาจเริ่มเกมไม่ดี เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แถมตัวสำรองที่ส่งลงมาก็ยังเปลี่ยนเกมไม่ได้นัก แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ดีไม่เปลี่ยนคือจังหวะโต้กลับอันรวดเร็วจากบอลของ สรรวัชญ์ และ ธนบูรณ์ ไปยัง ฐิติพันธ์, ปกเกล้า และ นูรูล ที่พยายามสอดไปโจมตีพื้นที่ด้านหลังแรวรับ มาเลเซีย ตลอด

น่าเสียดายที่ ตัน เชง โฮ เฮดโค้ชทีมชาติมาเลเซียก็เห็นจุดบอดนี้และได้สลับมาใช้ผู้รักษาประตูมือ 2 ฟาริซอล มัรลิยาส ตั้งแต่แมตช์สุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มกับ เมียนมาร์

หากใครได้ย้อนกลับไปดูไฮไลท์ระหว่าง มาเลเซีย กับ เวียดนาม จะสังเกตได้ว่าผู้รักษาประตู มาเลฯ ในขณะนั้น (ไครูล ฟาห์มี) เป็นคนที่ลังเลในจังหวะออกมาตัดบอลหรือปิดมุมพอสมควร แล้วทีมของ ตัน เชง โฮ ก็เสีย 2 ประตูจากความลังเลนั้น

ทว่าตั้งแต่ทีมเปลี่ยนมาใช้ ฟาริซอล ก็ไม่พบปัยหานั้นอีกเลย โดยมือกาววัย 32 ปีอ่านเกมได้ยอดเยี่ยม มีจังหวะสปีดมาตัดบอลทะลุช่องของ ไทย นอกเขตโทษตัวเองหลายครั้ง

“ช้างศึก” ขอบุกบ้าง

“เรามีโอกาสนะ แต่มันอาจจะน้อย มันอาจน่าเบื่อในเกมที่ทุกๆ คนอาจจะมองแบบนั้น ผมก็ยังเบื่อเลยต้องมาวิ่งเล่นเกมรับ แต่มันก็ส่งผลดีที่เราไม่เสียประตูครับ” สรรวัชญ์ เดชมิตร ตอบคำถามว่าเสียดายไหม ที่ทำประตูไม่ได้

“อยู่ที่เราแล้วแหละ ไม่ต้องไปมองว่า มาเลฯ เขาจะอะไรยังไง” สรรวัชญ์ กล่าวถึงเกมเลก 2 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน

“ถ้าเราไปรับอีกก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ต้องชนะแล้วหละใน ราชมังฯ”

สั้นๆ แต่ได้ใจความ...

ขอบคุณรูปภาพจาก @changsuek