วันนี้เมื่อเกือบปีที่แล้ว ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เปิดบ้านเสมอ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-2 แต่ภายในเวลาเพียง 1 ปี ทั้ง 2 ทีมก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จนผลการแข่งขันวันอาทิตย์นี้ มีแววออกได้ทั้ง 3 หน้า
เริ่มกันที่ฝั่งแชมป์เก่า “ปราสาทสายฟ้า” ซึ่งฤดูกาลไม่มีหัวใจเกมรุกอย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ และคู่หูร่างโย่ง เอ็ดการ์ ซิลวา อดีตกองหน้าเยาวชนทีมชาติบราซิล จริงอยู่ที่คู่ศูนย์หน้าอย่าง สุภโชค สารชาติ และ เปโดร จูเนียร์ เริ่มจูนเข้าหากันได้แล้ว (เห็นได้จากประตูชัย 1-0 เหนือ ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส) แต่ถ้าไม่ใช่จังหวะสวนกลับ ทั้งคู่จะสามารถเจาะเกมรับคู่แข่งได้หรือไม่? ที่ผ่านยังไม่มีตัวอย่างให้เห็นเลย
ไม่เพียงแค่แดนหน้าเท่านั้น แต่แดนกลาง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหาพอตัวอยู่เช่นกัน ปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังของ จักรพันธ์ แก้วพรม บีบให้ทีมต้องดัน “กัปตันกบ” สุเชาว์ นุชนุ่ม ลงตัวจริง
สุเชาว์ อาจมีเกมที่ยอดเยี่ยมเมื่อกลางสัปดาห์ แต่อย่าลืมว่าวันนี้เขาอายุ 34 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งการคาดหวังให้ สุเชาว์ รักษามาตรฐาน (ที่ดีมากๆ) ของตัวเองในเกมที่ดุเดือดกับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด คงเป็นเรื่องที่เสี่ยงอยู่พอสมควร
ทว่าสาวก “GU12” อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะอย่างหนึ่งที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พิสูจน์ให้เห็นในเกมกับ ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส และครึ่งแรกกับ อูราวะ เรด ไดมอนส์ แล้ว คือพวกเขามีเกมรับที่เชื่อใจได้ และด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้วิเคราะห์ได้ว่า โบซิดาร์ บันโดวิช น่าจะวางแทคติกมารอโต้กลับ บวกกับลูกตั้งเตะที่ยังเป็นที่เด็ดอยู่เช่นเคย
ในส่วนของเจ้าบ้าน ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด นอกจากจะได้เปรียบเสียงเชียร์แฟนบอลแล้ว พวกเขายังได้พักมากกว่าคู่แข่ง 1 สัปดาห์เต็มอีกด้วย
แม้เหล่า “แข้งเทพ” จะพลาดท่าเสมอนัดเปิดฤดูกาล แต่พวกเขาก็กลับมาชนะ แถมยังเก็บคลีนชีทได้จาก 2 นัดที่ผ่านมา
ในเกมรุก “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย แอสซิสต์ ประตูชัยให้ เนลสัน โบนีญ่า ได้ในนัดบุกชนะ ตราด เอฟซี 1-0
และโชว์ฟอร์มส่วนตัวเข้าตาไม่น้อย ในขณะที่กองกลางอย่าง ปกเกล้า อนันต์ ก็มีจังหวะวิ่งสอดขึ้นมาลุ้นทำประตูในกรอบเขตโทษบ่อยๆ ในหลายเกมที่ผ่านมา เพียงแต่เขายังตกม้าตายเพราะจังหวะจับบอลแรก และการจบสกอร์ที่ขาดๆ เกินๆ
หากปรับจุดนี้ได้ พละกำลัง และความสดของ ปกเกล้า ที่น่าจะเหนือกว่ามิดฟิลด์ตัวกลาง บุรีรัมย์ ก็อาจเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างในเกมสำคัญเกมนี้
แม้จะได้เปรียบเรื่องความสด แต่กุนซือ มาโน่ โพลกิ้ง ก็ต้องปวดหัวกับปัญหาอาการบาดเมื่อพวกเขาขาดเพลย์เมกเกอร์คนสำคัญเช่น วานเดอร์ หลุยส์ และกองหลังจอมแกร่ง มิก้า ชูนวลศรี
การไม่มี มิก้า บังคับให้ มาโน่ ต้องเลือกระหว่าง 1. ปรับไปเล่นหลัง 4 เหมือนฤดูกาลที่แล้ว หรือ 2. รักษาระบบหลัง 3 ที่พวกเขาฝึกซ้อมกันมาอย่างยาวนาน ตลอดช่วงพรีซีซั่น
หาก มาโน่ กลับไปยืนหลัง 4 คำถามคือพวกเขาจะเสี่ยงโดน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โต้กลับหรือไม่ เมื่อ บียู ใช้ฟูลแบ็คที่ชอบเดิมเกมทั้ง 2 ข้างอย่าง พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา และ ทริสตอง โด แล้วถ้าหากจะต้องดรอปใครสักคน ใครจะเป็นผู้ต้องเสียสละ?
อีกด้านนึง หาก มาโน่ ยืนยันจะเล่นหลัง 3 เหมือนเดิม ใครละจะเข้ามาแทนที่ มิก้า ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งขวา? เซ็นเตอร์แบ็คธรรมชาติอย่าง สันติภาพ แย้มแสน กับ กฤษฎา นนทรัตน์ มีดีกรีเป็นถึงเยาวชนทีมชาติไทย แต่ทั้งคู่พร้อมแล้วหรือสำหรับเกมใหญ่แบบนี้? ในขณะที่แข้งสารพัดประโยชน์อย่าง พุทธินันท์ วรรณศรี ก็ดูจะถนัดตำแหน่งฟูลแบ็คเสียมากกว่า
ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด น่าจะเป็นฝ่ายที่ได้ครองบอล เปิดเกมรุกมากกว่า ไม่มากก็น้อย แต่ มาโน่ ก็จำเป็นต้องวางหมากเกมรับให้รัดกุม หยุดเกมโต้กลับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้อยู่ หากคิดจะมีคะแนนติดมือ
สุดท้ายเชื่อว่าเกมวันอาทิตย์จะเป็นเกมที่สนุกอย่างแน่นอน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แม้จะยังจูนเกมรุกได้ไม่ 100% แต่แทคติก “รับแล้วโต้” ของ บันโดวิช ก็ยังคงน่ากลัวเช่นเคย ส่วนทางฝั่ง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ถึงจะมีคำถามเกมรับ แต่ความสด และเกมรุกที่แพรวพราวของ มาโน่ ก็ไม่ได้หายไปไหน พูดได้ว่าศึกครั้งนี้ออกได้ทั้ง 3 หน้า ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะใช้จุดแข็ง ปิดจุดด้อยของตนได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง