ในฐานะแฟนบอลไทยคนนึง จะบอกว่าเสียใจที่แพ้ ทีมชาติอินเดีย 4-1 คงน้อยไป ผมอาจต้องใช้คำว่าอับอายถึงจะถูก
นี่ไม่ได้เป็นการดูถูกกุนซือ สตีเฟ่น คอนสแตนติน และนักเตะอินเดียแต่อย่างใด พวกเขาเล่นได้แข็งแกร่ง มีระเบียบวินัย สู้เพื่อเพื่อนร่วมทีมและเล่นตามแทคติกได้เฟอร์เฟค มันใช่ความพ่ายแพ้ที่ทำให้ผมรู้สึกอับอาย หากแต่คือวิธีการที่เราแพ้เสียมากกว่าที่เป็นบ่อเกิดของความหดหู่นี้
ในนัดประเดิมสนามศึก เอเอฟซี เอเชียนคัพ 2019 นัดแรกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทัพ “ช้างศึก” ออกสตาร์ทเกมได้เอื่อยเฉื่อย ต่างจาก ทีมชาติอินเดีย ที่เริ่มเกมด้วยความกระตือรือร้น เข้าถึงบอลทุกจังหวะ พร้อมสปีดขึ้นลงทั้งรุกและรับแบบไม่กลัวหมดแรง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ เพราะในหลายๆ เกมในศึกชิงแชมป์อาเชียนที่ผ่านมา เราก็เริ่มเกมได้เชื่องช้า จนคู่แข่งเล่นงานได้บ่อยๆ
เราเสียประตูโดยแบบไม่น่าเสียจากจังหวะที่ ธีราทร บุญมาทัน เคลียบอลแบบไม่พิถีพิถันนัก เปิดโอกาสให้คู่แข่งทุ่มเร็ว ก่อนการสื่อสารที่ผิดพลาดระว่าง ธีราทร กับ ฉัตรชัย บุตรพรม จะทำเราเสียจุดโทษ (แบบที่มันก็ไม่ควรจะเป็นจุดโทษ) ให้กัปตันทีม สุนิล เชตรี ซัดเปิดสกอร์ 1-0
นาทีที่ 33 ธีรศิลป์ แดงดา โหม่งตีเสมอ 1-1 แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไรเพราะเริ่มครึ่งหลังมาแค่นาทีเดียว ทีมชาติอินเดีย ก็ฉวยโอกาสโต้กลับด้วยบอลยาวมาทางริมเส้นฝั่งซ้ายซึ่ง ธีราทร เติมเกมขึ้นไปจนเสียตำแหน่ง พวกเขาครอสเข้ากลางและก็เป็น สุนิล เชตรี คนเดิมที่ซัดจังหวะเดียวเข้าไปอย่างสวยงาม
หลังจากนั้นทุกอย่างก็มีแต่แย่กับแย่ นักเตะไทยทุกคนดูรนไปหมด แม้แต่ มิโลวาน ราเยวัช เองก็รนไปด้วย เห็นได้จากการเปลี่ยนตัวทั้ง 3 คนที่ไม่เห็นผลแม้แต่นิด
ในทางกลับกัน การแก้เกมของกุนซือชาวเซอร์เบียกลับยิ่งทำให้อะไรแย่ลงด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถอด ชนาธิป สรงกระสินธ์ ออก แล้วส่งศูนย์หน้าร่างยักษ์อย่าง สิโรจน์ ฉัตรทอง…ลงไปเป็นมิดฟลิด์ตัวกลาง
เราสู้เขาไม่ได้เลย ก่อนจบเกมด้วยผล 4-1
สกอร์ที่ออกมาอาจจะเยอะและน่าตกใจพอสมควณ แต่สิ่งที่ผมรู้สึก (นอกจากความเซ็ง) คือความประหลาดใจ
ราเยวัช คือโค้ชที่ขึ้นชื่อด้านแทคติกสุดเนี๊ยบ มีความเขี้ยว เจอใครก็แพ้ยาก แต่สิ่งที่เห็นในเกมกับ ทีมชาติอินเดีย กลับตรงกันข้ามกันทั้งในเรื่องของสไตล์การเล่นและการจัดตัว
หากเราย้อนไปดูทีมของ ราเยวัช ก่อนศึก เอเอฟซี เอเชียนคัพ พูดได้เลยว่าเราแทบไม่เห็นเขาใช้ฟูลแบ็คจอมบุกพร้อมกัน 2 คนในเกมเดียว ต่อให้เจอทีมรองบ่อนแบบ ติมอร์-เลสเต แต่ ราเยวัช ก็ขอให้ กรกช วิริยอุดมศิริ และ ฟิลิป โรลเลอร์ (ที่เป็นพวกจอมบุกโดยธรรมชาติ) เน้นปลอดภัยไว้ก่อน เพราะฉะนั้นการจัดตัวที่เน้นรุกสุดๆ กับ อินเดีย จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน
นี่ไม่ใช่ ทีมชาติไทย ชุดแข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นเพียงนักฟุตบอลเก่งๆ 11 คนที่มาเล่นร่วมกันเท่านั้นเอง
สิ่งที่สัมผัสได้คือนักเตะดูเหมือนจะเริ่มหมดศรัทธากับแนวทางของ ราเยวัช ตั้งแต่ความล้มเหลวในศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ไม่กี่สัปดาห์ก่อน
ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคาดหวังจากแฟนบอล โดย ทีมชาติไทย คือเจ้า อาเซียน 2 สมัยซ้อนและกำลังไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 3 ในเวลาเดียวกันก็เริ่มมีการถกเถียงว่าทีมชาติควรจะเล่นแบบไหนระหว่าง บอลเน้นผลของ ราเยวัช หรือสไตล์บู๊แหลก
แม้ ราเยวัช จะให้สัมภาษณ์ว่าเขาฝึกซ้อมเกมรุกมากขึ้น แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่เป็นที่พอใจของเหล่านักเตะ พวกเขารู้สึกว่าทีมต้องบุกกว่านี้ นักเตะเราอยากประกาศให้ทุกชาติรู้ว่าพวกเขาคือที่หนึ่งของ อาเซียน และชัยชนะอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องชนะแบบ “มีสไตล์” ด้วย ฟุตบอลของ ราเยวัช ที่เน้นเกมเหนียวแน่น (ถึงแม้จะยิงเยอะและยังไม่แพ้ใครในศึกชิงแชมป์อาเซียน) จึงถูกมองเป็นอะไรที่น่าอายและไม่เท่เอาเสียเลย
ทางสมาคมฟุตบอลฯ ทราบถึงปัญหานี้ดี จึงมีการเรียกโค้ชโชค โชคทวี พรหมรัตน์ เข้ามาเป็นหนึ่งในสตาฟโค้ช โดยอดีตกุนซือ ยู23 เป็นที่รักของ “น้องๆ ในทีม” อย่างดีหลังเคยคว้าเหรียญทอง ซีเกมส์ กับนักเตะหลายๆ คนในทีมชุดนี้แล้ว พูดง่ายคือหน้าที่หลักของ โค้ชโชค คือการเข้ามาเป็นพี่ใหญ่ ซ่อมรอยร้าวระหว่าง ราเยวัช และทีม
น่าเศร้าที่แผนของทาง สมาคมฟุตบอลฯ ล้มเหลว จนเราตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดแบบนี้
มีข่าวลือว่าในคืนที่ ราเยวัช ถูกปลดนั้น ทางท่านนายกสมาคมฟุตบอลฯ และทีมงามได้จัดการประชุมกันขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมคือ ท่านนายกฯ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง, เหล่าที่ปรึกษา, ทีมงานสตาฟของ มิโลวาน ราเยวัช และ 5 นักเตะทีมชาติไทย ก่อนได้ผลสรุปคือการแยกทางกันอย่างที่ทราบกันดี
ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า 5 นักเตะนั้นคือใคร หรือว่าพวกเขาสนับสนุนการทำงานของ ราเยวัช หรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรารู้แน่ชัดคืออำนาจต่อรองและอิทธิพลที่นักเตะมีบางรายมีต่อการตัดสินใจของ สมาคมฟุตบอลฯ
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามเล็กๆ ในใจผมว่า…จะให้เราเชื่อใจนักเตะ(บางคน)ได้อย่างไร ว่าพวกเขาสู้เพื่อเราเต็มร้อย ในเมื่อพวกเขาเองยังเกิดความสงสัยในตัวหัวหน้าผู้ฝึกสอนจนขนาดที่ว่ามันส่งผลถึงผลงานในสนาม
ในประวัติศาสตร์ฟุตบอล มันไม่เคยมีครั้งไหนหรอกครับ ที่เมื่อนักเตะมีส่วนในการตัดสินอนาคตของโค้ชแล้วผลงานทีมมันออกมาดี
สุดท้าย อะไรเกิดก็เกิดไปแล้ว ตอนนี้ ราเยวัช ไม่อยู่ นักเตะไม่สามารถโทษได้แล้วว่าเล่นไม่ออกเพราะโดนแทคติกฉุดเอาไว้ หากข่าวลือที่เราอ่าน ที่เราไม่ยินมาเป็นความจริง มันก็คงถึงเวลาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งของนักเตะชุดนี้
ลืมเรื่องผลการแข่งขันไปได้เลย ผมเชื่อว่าสิ่งที่แฟนบอลหลายท่านเรียกร้อง ณ ตอนนี้คือคำว่า “สู้” ออกไปสู้เพื่อพวกเรา สู้ให้สมเกียรติกับการสวมเสื้อทีมชาติไทย
ขอบคุณครับ