เอเชียนคัพ ทีมชาติไทย

5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ 4-1 ต่อ ทีมชาติอินเดีย ในศึก เอเชียนคัพ 2019 กลุ่ม เอ นัดที่ 1

ทีมชาติไทย ประเดิมรายการ เอเชียนคัพ ที่เฝ้ารอมา 12 ปีได้อย่างน่าหดหู่ด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน 4-1 ต่อ ทีมชาติอินเดีย และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สมาคมฟุตบอลฯ ก็ได้แถลงแยกทางกับ เฮดโค้ช มิโลวาน ราเยวัช แบบฟ้าผ่า จนทำให้เกิดการถกเถียงอย่างมากในหมู่แฟนบอลว่าเราพลาดที่ตรงไหน? และนี้ 5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากเกมส่งท้ายการคุมทัพ “ช้างศึก” ของกุนซือชาวเซอร์เบีย

อดิศักดิ์ ไกรษร หายไปจากเกม

มิโลวาน ราเยวัช จัดทัพในระบบ 4-2-3-1 ด้วยการดัน อดิศักดิ์ ไกรษร ดาวซัลโว เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ไปยืนปีกขวาเพื่อเปิดทางให้กับ ธีรศิลป์ แดงดา โดยก่อนหน้านี้กุนซือชาวเซอร์เบียเคยทดลองใช้ อดิศักดิ์ ในตำแหน่งนี้มาแล้วในแมตช์อุ่นเครื่องกับ ทีมชาติตรินิแดดและโตเบโก เมื่อเดือน ตุลาคม ที่ผ่าน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่

จึงไม่น่าแปลกใจที่ อดิศักดิ์ จะเล่นไม่ออกตลอด 79 นาทีที่เขาอยู่บนสนาม ไม่มีใครแน่ใจว่าเขาฟิตเต็มร้อยแค่ไหนหลังหายเจ็บยาวกลับมา ศูนย์หน้า “กิเลนผยอง” ดูออกตัวช้า เล่นได้อึดอัดเพราะถูกคู่แข่งบีบเข้าหาทุกจังหวะ แถมยังจับบอลขาดๆ เกินๆ ไม่สามารถเชื่อมเกมกับเพื่อนบริเวณริมเส้นฝั่งขวาได้เลย

การต่อบอลตามช่องในพื้นที่แคบไม่ใช่จุดแข็งของ อดิศักดิ์ ส่งผลให้เกิดปัญหาอย่างยิ่งเมื่อถูกรายล้อมไปด้วยแนวรับ ทีมชาติอินเดีย ที่บีบพื้นจน อดิศักดิ์ แผลงฤทธิ์ไม่ได้ ตัดตัวรุกฝั่งขวาของเราออกจากเกมไปโดยปริยาย

ทีมชาติไทยคิดถึง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์

ผู้รักษาประตูเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้ายของแนวรับ และเมื่อคุณมีโกลที่ทุกคนเชื่อใจ ฝากความหวังไว้ได้ มันก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แผงหลัง ส่งผลให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับทุกคนในทีม

กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ คือชายคนนั้นของ ทีมชาติไทย และน่าเสียดายที่เขาต้องพลาดทัวร์นาเมนต์อันยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 12 ปีของเราด้วยอาการบาดเจ็บบริเวณใต้เท้าระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้

เป็นอีกเกมที่ ฉัตรชัย บุตรพรม มีความผิดพลาดในการสื่อสารกับแนวรับให้เห็น แถมยังเสียถึง 4 ประตูโดยไม่มีจังหวะเซฟสวยๆ ให้ได้อุ่นใจเลย นี่ไม่ได้จะเป็นการต่อว่า ฉัตรชัย ว่าเขาไร้ความสามารถแต่อย่างใด เพราะแฟนบอลไทยก็เห็นอยู่ทุกสัปดาห์แล้วว่าเขาเล่นดีขนาดไหนกับสโมสร เพียงแค่ ฉัตรชัย เวอร์ชั่น "กว่างโซ้งมหาภัย" กับเวอร์ชั่น "ช้างศึก" มันคนละคนกันชัดเจน

สิ่งที่แตกต่างระหว่าง กวินทร์ และผู้รักษาประตูในชุดนี้คือออร่าในการคุมเขตโทษ ประกาศอาณาเขตของตน แสดงให้เพื่อนร่วมทีม รวมถึงคู่แข่งทราบว่า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในเขตโทษ เขาจัดการได้หมด

น่าสนใจว่าแมตช์ต่อไปกับ ทีมชาติบาห์เรน กุนซือชั่วคราวอย่าง โค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย จะเลือกใช้ ฉัตรชัย ต่อไป หรือให้โอกาศ ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ตามเสียงเรียกร้องของแฟนบอล

นักเตะยอมแพ้ตั้งแต่กลางครึ่งหลัง

ในเกมฟุตบอล ความผิดพลาดหรือคำตัดสินที่ไม่เป็นใจล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่คุณคาดหวังจากนักเตะทุกคนคือความเข้มแข็ง กัดฟันสู้จนนาทีสุดท้าย แต่สิ่งที่เราเห็นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคือนักเตะที่ถอดใจยอมแพ้แทบจะทันทีที่โดนประตู 2-1 ช่วงต้นครึ่งแรก

หลายคนอาจโทษแทคติก การจัดตัวหรือการเปลี่ยนตัวของ มิโลวาน ราเยวัช ที่ฉุดไม่ให้นักเตะแสดงศักยภาพสูงสุดออกมา อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแผนการเล่นจะถูกหรือผิดอย่างไร นักเตะก็จำเป็นต้องทำเรื่องเบสิคให้ถูกอยู่ดี เช่นการรับส่งบอลง่ายๆ (ซึ่งปกติไม่ใช่ปัญหาของเรา) หรือการทำงานหนัก เข้าถึงบอลทุกจังหวะ วิ่งสู้ฟัดให้เท่าคู่แข่งเป็นอย่างน้อย

เรื่องพวกนี้คุณไม่จำเป็นต้องมีทักษะฟุตบอลขั้นเทพแบบ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ทำได้ ขอเพียงแค่มีความกระหายไม่ยอมแพ้เป็นพอ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่ ทีมชาติไทย ไม่มีในครึ่งหลัง

อินเดีย กระหายชัยชนะมากกว่าก็เท่านั้น

ทีมชาติอินเดีย ไม่ได้ถล่ม ทีมชาติไทย 4-1 เพราะโชคช่วย หรือเพราะ ทีมชาติไทย เล่นไม่เอาไหน แต่เป็นเพราะ ‘เดอะ บลูไทเกอร์’ มีความกระหายในชัยชนะมากกว่าเราเท่านั้นเอง

เราควรยกเครดิตให้กุนซือ สตีเฟ่น คอนสแตนติน ที่สร้างทีมซึ่งมีระเบียบวินัยทางแทคติกสูง พร้อมทำงานหนักเพื่อกันและกัน โดยในเกมนี้ยอดทีมแห่ง เอเชียใต้ วางแผนมาเล่นด้วยความรัดกุม และใช้การเพรสซิ่งหนักเพื่อหยุดการต่อบอลเท้าสู่เท้าของ ทีมชาติไทย โดยหลังเกมกัปตันทีม สุนิล เชตรี ออกมาเปิดเผยถึงกุญแจสำคัญของชัยชนะว่า

“ครึ่งแรกบางครั้งผมยังนึกเลยว่าเราเล่นกับ บาร์เซโลน่า อยู่หรือเปล่า พวกเขาเก่งมากเพราะฉะนั้นเราต้องกล้าเล่น กล้าไล่บอลสูง ทำทุกวิธีไม่ให้พวกเขาต่อบอลกันสำเร็จและมันก็ได้ผล เราได้ประตูถูกเวลา ที่เหลือคือช่วยกันไล่บอลและทำงานหนักต่อไป”

ความกล้าและการทำงานหนัก แค่นั้นเอง

การเปลี่ยนตัวที่ผิดพลาดของ มิโลวาน ราเยวัช

นอกจากการเปลี่ยนตัวสำรองของ ราเยวัช จะผิดมหันต์แล้ว มันยังเป็นการตัดสินใจที่แปลกประหลาดสุดๆ อีกด้วย

(อดีต) กุนซือ ‘ช้างศึก’ เปลี่ยน สรรวัชญ์ เดชมิตร ที่โดนใบเหลืองเร็วออก แทนทีด้วยแบ็คซ้าย กรกช วิริยอุดมศิริ แล้วขยับ ธีราทร บุญมาทัน ไปเป็นมิดฟิลด์ตัวใน ซึ่งถึงแม้จะดูขัดตานิดๆ แต่ ธีราทร ก็เคยเล่นกองกลางบ้างแล้ว แต่นั้นก็เป็นในบทบาทมิดฟิลด์ตัวในฝั่งซ้ายในระบบ 4-3-3 ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการยืนเป็นคู่กลางในระบบ 4-2-3-1

โชคร้ายที่การปรับแทคติกนี้กลับมาเล่นงาน ราเยวัช เพราะแค่เพียง 10 นาทีต่อมา ทีมชาติอินเดีย ก็ทิ้งห่าง 3-1 จากจังหวะที่คู่กลางของเรา (ธีราทร และ ฐิติพันธ์) สื่อสารกันผิดพลาดจนเสียบอลในพื้นที่อันตราย

ไม่กี่นาทีต่อ ราเยวัช ทำเอาแฟนบอลทั้งประเทศต้องช็อคอีกครั้งเมื่อเขาถอดเอา ชนาธิป สรงกระสินธ์ ตัวรุกทีเด็ด ทีมชาติไทย ออก แล้วแทนที่ด้วย สิโรจน์ ฉัตรทอง ในตำแหน่งกองกลาง คงไม่ต้องพูดว่าการฝืนเอาศูนย์หน้าที่มีจุดขายที่ความเร็วและแข็งแรงมายืนแดนกลางส่งผลเสียอย่างไร

11 นาทีสุดท้าย สุมัญญา ปุริสาย ลงสนามมาแทนที่ อดิศักดิ์ ไกรษร ที่หายเงียบไปตลอดทั้งเกมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ นับเป็นการแก้เกมในแมตช์อำลาที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลยสำหรับ มิโลวาน ราเยวัช

ขอบคุณรูปภาพจาก @changsuek