ความฝันของทัพ ‘ช้างศึก’ ที่จะคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ สมัยที่ 3 ติดต่อกันจบลงที่รอบรองชนะเลิศด้วยผลเสมอ 2-2 ในบ้านต่อ ทีมชาติมาเลเซีย และถึงแม้เราจะใจสลายทันทีที่ อดิศักดิ์ ไกรษร ยิงลูกจุดโทษลูกนั้นออกไป แต่สิ่งสำคัญคือขอให้ทุกคนมองในภาพรวมกันก่อน
มีหลายปัจจัยที่ทำให้ความล้มเหลวครั้งนี้ดูแย่กว่าความเป็นจริง หนึ่งในนั้นคือ โค้ชมิโลวาน ราเยวัช และสไตล์ฟุตบอลที่เน้นผลการแข่งขันเหลือสิ่งอื่นใดของเขา การหักดิบจากฟุตบอลที่เน้นการครองบอล เชื่อมเกมกันเท้าต่อเท้าภายใต้ยุค โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาเป็นฟุตบอลเหนียวแน่นปัจจุบันคือปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อเทสท์ของแฟนหลายๆ คน
อีกทั้งการออกมาวิจารณ์สไตล์ฟุตบอลจากนักเตะบางคนก็คงส่งผลเสียต่อ ราเยวัช ไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจที่คอบอลไทยจะคิดถึงฟุตบอลเกมรุกที่รวดเร็ว ตื่นตาตื่นใจ – แต่มันก็ไม่ควรจะเอามาเป็นเหตุผลโจมตีเฮดโค้ชคนปัจจุบันใช่หรือไม่?
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ของ ราเยวัช ย่ำแย่กว่าเดิมคือผลการแข่งขันทั้งหมดมาผิดที่ผิดเวลา แฟนบอลหลายคนตั้งเป้าให้ความสำเร็จของทีมชุดนี้มากลบความผิดหวังจากศึก เอเชียนเกมส์ เมื่อเดือน สิงหาคม
ชัยชนะ 6-0 นัดเปิดสนามช่วยให้หลายฝ่ายใจชื้นมานิดแต่การตกรอบครั้งนี้ก็เปรียบเสมือนแผลซ้ำ ที่อาจเปลี่ยนแฟนบอลมาอยู่คนละฝั่งกับสมาคมฟุตบอลฯ
อย่างนึงที่ต้องเข้าใจคือความผิดหวังครั้งนี้อาจแสดงถึงความไม่ก้าวหน้า แต่มันก็ไม่ได้แสดงถึงความล้มเหลวหรือถอยหลังแต่อย่างใด การที่ชาติอาเซียนอื่นๆ ขยับเข้ามาใกล้เรามากขึ้นอาจไม่ใช่เพราะเราแย่ลง แต่เพราะพวกเขามีพัฒนาการณ์ ต้องยกเครดิตให้โค้ชและนักเตะเพื่อนบ้านต่างหาก
มองในแง่ดี ทีมชาติไทย ควรจะยินดีด้วยซ้ำที่มาตรฐานฟุตบอล อาเซียน พัฒนาขึ้น เพราะนั้นเท่ากับเราจะได้มีคู่แข่งฝีเท้าดีไว้ยกระดับตัวเองอยู่บ่อยๆ
แม้เราจะขาด 4 แข้งหลักที่โลดแล่นอยู่ในลีกต่างแดน แต่ ทีมชาติไทย ก็ยังสามารถจบอันดับหนึ่งในกลุ่มที่กูรูหลายสำนักยกให้เป็น “กรุ๊ปออฟเดธ” ด้วยนักเตะจากหลากหลายสโมสรปะปนกันไป
อีกทั้งเรายังได้เห็นดาวรุ่งมากมายจาก ไทยลีก ฤดูกาล 2018 ได้โอกาสมาเป็นส่วนนึงของทีมชุดใหญ่ ประตูสู่ทัพ ‘ช้างศึก’ ที่เปิดกว้างเสมอในยุค ราเยวัช ทำให้ ไทย มีตัวเลือกกว้างขวางกว่าเก่า รวมถึงการแข่งขันแย่งตำแหน่งตัวจริงทีมชาติ ซึ่งรับรองได้เลยว่าจะส่งผลดีต่อทีมในระยะยาว
เราพูดถึงหลายอย่างที่ไม่เป็นใจกับ ราเยวัช ไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการมารับงานต่อจากโค้ชซิโก้ที่มีสไตล์บอลต่างกันลิบลับหรือความโชคร้ายที่ต้องมาแบกแรงกดดันเพิ่มขึ้นเพราะความล้มเหลวจากชุด เอเชียนเกมส์ แต่สิ่งหนึ่งที่เข้าทางกุนซือชาวเซอร์เบียคือเขาไม่ต้องรอนานเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ในรายการ เอเอฟซี เอเชียนคัพ ทีมชาติไทย จะได้กำลังหลักกลับมาเสริมทีมกันพร้อมหน้าพร้อมตาและเชื่อว่าแฟนบอลทุกคนคงปลื้มใจไม่น้อยหสกได้เห็นแข้ง ‘ช้างศึก’ พลิกความล้มเหลวในรายการ อาเซียน มาเป็นความสำเร็จระดับ เอเชีย ทะลุผ่านรอบแบ่งกลุ่มตามเป้า
สุดท้ายแล้ว นี่อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนักที่เราจะมาเศร้าใจกับทัวร์นาเมนต์ที่คิดว่ายังไงก็แชมป์ มันอาจไม่ใช่เวลาที่ดีนักสำหรับการถอดใจยอมแพ้ แฟนบอลไทยแทบทุกคนอาจย้อนกลับมามองปี 2018 เป็นปีที่ย้ำแย่สุดๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีปี 2019 หรือ 2020 ที่งดงามต่อไปไม่ได้นิ