เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ทีมชาติไทย

5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากเกม ไทย เสมอ มาเลเซีย 2-2 เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 รอบรองชนะเลิศ เลก 2

ย้อนรอย 5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากเกมที่ ทีมชาติไทย ทำได้เพียงเสมอ ทีมชาติมาเลเซีย ในบ้าน 2-2 ตกรอบ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 ด้วยกฎประตูทีมเยือน แม้ยังไม่แพ้ทีมไหนเลยตลอดทัวร์นาเมนต์

‘เสือเหลือง’ ผ่านบอลทะลุเกมเพรสซิ่ง ทีมชาติไทย

ในอดีตฟุตบอลมาเลเซียขึ้นชื่อเรื่องบอลยาว เล่นหนัก บุกแหลกไว้ก่อน ทว่านับตั้งแต่การเข้ามาของเฮดโค้ช ตัน เชง โฮ ทัพ ‘เสือเหลือง’ ได้มีการปฏิวัติปรัชญาการเล่นครั้งใหญ่

พวกเขาให้เวลาและโอกาส ตัน เชง โฮ สร้างทีมจากชุดนักเตะดาวรุ่ง เล่นฟุตบอลเกมรุกซึ่งเน้นต่อบอลเท้าต่อเท้าอย่างใจเย็นเป็นจังหวะจะโคน ประตูตีเสมอ 1-1 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งเริ่มจากการต่อบอลหน้าเขตโทษตัวเอง ล่อให้นักเตะไทยเข้าไปบีบ ก่อนจะต่อบอลทะลุแดนกลางเราไปง่ายคือเครื่องพิสูจน์ว่าปรัชญาของ ตัน เชง โฮ นั้นเริ่มเห็นผลแล้ว

ปัญหาความฟิต ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และจุดบอดมิดฟิลด์ตัวรับ

อาจเป็นเพราะเพิ่งอาการบาดเจ็บ อาจเป็นเพราะล้า ไม่มีใครรู้ แต่ในครึ่งแรก ธนบูรณ์ เกษารัตน์ รับมือกับพละกำลังและความขยันของมิดฟิลด์คู่แข่งไม่ได้เลย

ครึ่งหลัง ปกเกล้า อนันต์ ถูกเปลี่ยนลงมาเป็นกลางรับแบบจำเป็นและควรบีบคู่แข่งให้ชิดกว่านี้ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เสียประตูตีเสมอ 2-2 จาก นูรชะห์รุล อิดลัน ในจังหวะที่ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว จ้องบอลจนลืมดูตัวประกบ

การจัดตัวผิดพลาด ทำเสียเวลาครึ่งแรก

โค้ช มิโลวาน ราเยวัช เปลี่ยนตัวจริงทางกาบขวา 2 ตำแหน่ง มงคล ทศไกร แทน นูรูล ศรียานเก็ม และ ฟิลิป โรลเลอร์ แทน มิก้า ชูนวลศรี

ทั้ง มงคล และ โรลเลอร์ อาจเรียกได้ว่าเป็นการปรับเพื่อเปิดเกมรุกก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น มงคล ที่ได้ลูกใหญ่ ลูกชนมากกว่า นูรูล หรือ โรลเลอร์ ที่เป็นฟูลแบ็คจอมบุกอยู่แล้วเมื่อเทียบกับ มิก้า

ทว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ ราเยวัช คงอยากเปลี่ยนใจเรื่องตัวจริงใหม่เพราะทั้ง มงคล และ โรลเลอร์ เล่นไม่ออกจริงๆ ในครึ่งแรก ปีกขวาจาก โปลิส เทโร ถูกตัดออกจากเกมทางฝั่งขวา ในขณะที่ โรลเลอร์ ไม่สามารถรับมือตัวริมเส้นคู่แข่งได้ แถมยังโดนใบเหลืองเร็ว ทำตัวเองเล่นยากอีกต่างหาก

‘ช้างศึก’ ยุคใหม่ อันตรายเซตพีซ แต่ไร้เดียงสายามครองบอล

ทีมชาติไทย แสดงให้เห็นพิษสงลูกตั้งเตะอีกครั้งจากประตูขึ้นนำ 2-1 นับเป็นประตูที่ 3 ในทัวร์นาเมนต์นี้ของ พรรษา เหมวิบูลย์ แสดงที่มิติใหม่ๆ ในเกมรุกที่เราไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน

อย่างไรก็ตามแม้เราจะยิงประตูจากลูกเชตพีซได้เป็นกอบเป็นกํากว่าสมัยก่อน แต่หนึ่งจุดที่เราด้อยลงไปคือความสามารในการขึ้นเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อบอลจากแดนหลังที่มีปัญหา ดูติดๆ ขัดๆ มาตลอดตั้งแต่รอบรองชนะเลิศเลกแรกแล้วด้วยซ้ำ

ในยุคโค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทีมชาติไทย ได้อิสระในการสร้างสรรค์เกมเต็มที่ โดยมีมิดฟิลด์ สารัช อยู่เย็น คอยวิ่งเชื่อมบอล ปะติดปะต่อเกมตามช่องไปเรื่อย และถึง ทีมชาติไทย จะไม่มีสมดุลเกมรับนัก แต่ก็สร้างเจาะเข้าไปยิงคู่แข่งย่าน อาเซียน ได้ทุกราย

มาในยุคโค้ช มิโลวาน ราเยวัช ทีมชาติไทย ได้แลกอิสรภาพไปเพื่อความรัดกุมที่มากขึ้น กองกลางห้องเครื่องสไตล์วิ่งสู้ฟัดที่ไม่ตรงสเปค ไม่เคยอยู่ในสายตา โค้ชซิโก้ อย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ก็ก้าวขึ้นมาตัวหลัก เปลี่ยนรูปโครงสร้างทีมจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ที่กล่าวมานี้ ไม่ได้จะบอกว่าโค้ชคนไหนเก่งกว่าใคร เพราะความจริงก็คือมันไม่มีวิธีเล่นฟุตบอลที่ถูกต้อง ไม่มีระบบหรือแทคติกไหนที่ยอดเยี่ยมที่สุด

วันนี้ ราเยวัช เข้ามาเสริมกระดูกเกมรับ ‘ช้างศึก’ ให้แข้งแกร่งขึ้น แต่โจทย์ต่อไปของเขาคือการเรียกศักยภาพเกมรุกเราคืนมาให้ได้

แฟนบอลทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว

ในเกมเปิดสนามศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ กับ ติมอร์-เลสเต มีแฟนบอล ไทย เข้าไปให้กำลังใจนักเตะของเราเพียง 8,700 คนเท่านั้น จนหลายๆ ฝ่าย แม้แต่นักเตะเองต้องออกมาเรียกร้อง ปลุกกระแสดึงแฟนบอลเข้าสนามมากขึ้น

จำนวนผู้ชม 46,157 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในเกมปะทะ ทีมชาติมาเลเซีย จึงเป็นตัวเลขที่น่าปลื้มใจมากๆ และถึงแม้ผลการแข่งขันจะไม่เป็นไปอย่างหวังก็ตาม แต่แฟน ‘ช้างศึก’ ก็อย่าได้ใจน้อยไป ทุกคนได้ทำหน้าที่กองเชียร์อย่างเต็มที่แล้ว สมควรได้รับคำชมที่สุด