ก่อนโปรแกรมสุดท้ายนัดที่ 34 จะเริ่มขึ้น น้อยคนคงคิดว่า ชัยนาท ฮอร์นบิล ที่ต้องชนะและภาวนาให้ผลเกม สุโขทัย รวมถึง บางกอกกล๊าส เข้าทางด้วย จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์พลิกล็อครอดตกชั้นได้อย่างเหลือเชื่อ
เครดิตความสำเร็จครั้งนี้ต้องยกให้ เดนนิส อมาโต้ จอมแทคติกชาว เยอรมัน ผู้ประคองทัพ “นกใหญ่พิฆาต” มาตลอดซีซั่น ทีมเล็กๆ ทีมนี้มีเกมที่น่าจดจำมากมายเช่นนัดเปิดบ้านเชือด เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 หรือเกมบุกดับ บีจีเอฟซี 5-2 ในเลกแรก ซึ่งทำให้พวกเขาได้เปรียบผล เฮด ทู เฮด จนรอดตกชั้นในที่สุด วันนี้คุณ Gian Chansrichawla บรรณาธิการฟุตบอลไทรบ์ เอเชีย ได้มีโอกาสพูดคุยกับโค้ชเดนนิส อมาโต้ ถึงประสบการณ์ค่ำคืนนั้นที่ สุพรรณบุรี ไปดูกันสิว่าเขาจดจำอะไรได้บ้างเมื่อได้หายใจหายคอบ้างแล้ว
1 - นี่อาจเป็นคำถามแปลกนิดๆ แต่ขอย้อนกลับไปถามได้ไหมครับว่ามั่นใจมากแค่ไหนก่อนเกมนัดสุดท้ายกับ สุพรรณบุรี เอฟซี?
“ตอบตรงๆ เราค่อนข้างมั่นก่อนเกมสุดท้ายที่ สุพรรณบุรี เราเชื่อว่าสามารถชนะเกมนั้นได้ถึงแม้ต้องหวังให้ผลสนามอื่นเข้าข้างด้วยก็ตาม ผมค่อนข้างชัวร์ว่า สุโขทัย จะชนะ แอร์ฟอร์ซ และคิดว่าอย่างน้อย บีจี น่าจะเสมอ โคราช ได้ในบ้าน เพราะฉะนั้นโอกาสอยู่รอดของเราจึงน้อยมาก แต่ผมคิดในหัวเสมอว่าต้องชนะเกมเราก่อน อะไรก็เกิดขึ้นได้ที่สนามอื่นๆ”
3 - ช่วงพักครึ่งนักเตะรู้ไหมครับว่า บางกอกกล๊าส โดนนำอยู่ในขณะนั้น
“เราไม่เคยบอกผลสกอร์สนามอื่นเลย จะตอนพักครึ่งหรือ 10 นาทีสุดท้ายก็ไม่บอก เราต้องการให้พวกเขาโฟกัสกับชัยชนะในเกม แล้วตอน สุพรรณบุรี ตีเสมอ ผมได้แต่ตะโกนในใจตัวเองว่า ‘ขอแค่ชนะ ก็อยู่รอดแล้ว!’ จากนั้นเราจึงปรับทัพบุกเต็มที่ จนได้จุดโทษในนาทีสุดท้าย”
4 - ช่วยเล่าย้อนถึงอารมณ์ตอนได้จุดโทษท้ายเกมนั้นหน่อยได้ไหมครับ
“กดดัน...ผมรู้ตลอดว่าสนามอื่นเป็นยังไงและคาดใจว่าการนำของเราน่าจะเพียงพอแล้วที่จะรอด จริงๆ ครึ่งหลังเรา สุพรรณบุรี ไม่มีโอกาสเลยนะ จนเรามาพลาดแค่ครั้งเดียวให้เขาเปิดครอสบอลมาข้างในที่เราเสียสมาธิจนโดนยิง ณ นาทีนั้นผมคิดเลยว่าจบแล้ว มองไปที่ผู้เล่นผมก็คิดว่าพวกเขาหมดแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเปลี่ยน มาร์โค บัลลินี ลงไป ผมก็เริ่มตะโกนว่า ‘เอาหน่อยๆ กลับมาในเกมให้ได้ ลงไปยิงหรือสร้างจังหวะอะไรสักอย่างที’ ผมตะโกนใส่ผู้เล่นทุกคนให้ลุกขึ้นมาสู้ใหม่”
“ตอนนั้นมันยากที่จะเชื่อมั่นใจตัวเอง เราโชคร้ายมาทั้งฤดูกาล เสียประตูท้ายเกมบ่อยๆ ปล่อยแต้มหลุดมือไปเยอะแถมผลการตัดสินหลายครั้งก็ไม่เข้าทางเรา แต่สุดท้ายเราดีใจมากที่ได้จุดโทษลุกนั้น”
5 - สิ้นเสียงนกหวีด แต่คุณยังไม่อนุญาตให้นักเตะฉลองกัน ช่วยเล่าถึงความรู้สึกตอนคุณและสตาฟรุมเช็คผลการแข่งขันอื่นให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
“ถูกครับ ผมยังไม่อยากดีใจเพราะเกม [ที่ ลีโอ สเตเดี้ยม] ยังไม่จบ โอเคละเราทำหน้าที่ของเราแต่เกมที่ กรุงเทพฯ ยังดำเนินอยู่ ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ไม่กี่ปีก่อนที่ เยอรมัน ตอน ชาลเก้ 04 ฉลองเกมสุดท้ายของฤดูกาล ก่อน บาเยิร์น มิวนิค พลิกมายิงตีเสมอ ฮัมบูร์ก ในช่วงนาทีสุดท้ายและคว้าแชมป์ลีกไปได้หน้าตาเฉย ผมจึงอยากให้แน่ใจจริงๆ [ว่าเกมที่ ลีโอ สเตเดี้ยม] จบแล้ว ตัวผม ผู้ช่วยกับล่ามเช็คแล้วเช็คอีกว่า [เรารอดแล้ว]จริงๆ ใช่ไหม”
“ผมไม่ต้องการให้นักเตะฉลองกันก่อนที่มันแน่ใจ 100 เปอร์เซ็น อารมณ์ของผมยังค้างอยู่กับเกม พยายามดึงสติตัวเองหลังจากเพิ่งเล่นไป 90 นาที เราเก็บแต้มได้เยอะและสมควรี่จะรอดตกชั้น แต่ทุกอย่างก็อาจจบลงได้เพียงเสี้ยววินาที ทว่าพอทุกอย่างเคลียหมด มันเหมือนกับยกหินก้อนยักษ์ออกจากอก แรงกดดันทุกอย่างหมดสิ้นไป มันรู้สึกปลื้มใจและเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย”
6 - สุดท้าย คุณพูดอะไรกับนักเตะเมื่อรู้แล้วว่ารอดตกชั้นชัวร์ๆ
“ผมไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษกับนักเตะตอนรอดตกชั้น เพราะส่วนใหญ่ก็เช็คผลกันบนมือถืออยู่แล้ว ผมแค่พยายามคุมตัวเองและคุยกับล่าม พยายามให้ทุกอย่างสงบ ฟุตบอลคือเกมที่โหดร้ายซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นในวินาทีสุดท้าย”
“ส่วนมากจะเป็นพวกเขามากกว่าที่พูดกับผม พวกเขาวิ่งมาแล้วพูดว่า ‘โค้ชๆ เราทำได้แล้ว! ไม่อยากจะเชื่อเลย!’ การเห็นความสุขในแววตาของนักเตะไทย นักเตะที่ไม่เคยพูดภาษาอังกฤษเลยก็พยายามมาดีใจกันกับผม ทุกคนล้วนตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของความสุข นี้คือโมเมนต์ในชีวิตที่คุณจะไม่มีวันลืม ผมจะจำไปตลอดเช่นเดียวกับแชมป์เมื่อปีที่แล้ว”
“โดยรวมถือเป็นช่วงเวลาที่เครียดแต่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ทำให้เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยิ่งขึ้น”