แม้ว่าตัวแทนของทวีปเอเชียอย่าง ซาอุดิอาระเบีย จะโดนเจ้าภาพ รัสเซียต้อนขาดในเกมเปิดสนาม แต่ในครั้งนี้ 5 ตัวแทนจากทวีปเอเชียต่างมุ่นมั่นที่จะทำผลงานให้ดี หลังจากที่ครั้งก่อนที่บราซิลต่างพากันทำผลงานน่าผิดหวังกันหมด และ คนที่จะเป็นความหวังของทีมแน่นอนว่าจะต้องเป็น ดาวซัลโว ประจำทีม และนี่คือโฉบหน้าของความหวังของหมู่บ้าน 5 แข้งจากเอเชียที่ลงเล่นฟุตบอลโลก 2018 ที่พกสถิติดาวยิงสูงสุดของประเทศลงเล่น
กดลูกศรทางด้านขวาเพื่อร่วมติดตามไปกับเรา
ทิม เคฮิลล์ (ออสเตรเลีย) | สถิติลงเล่น 106 นัด ยิงได้ 50 ประตู
ดาวเตะวัย 38 ปีที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติออสเตรเลียแทนที่ของจิงโจ้ไปแล้ว นอกจากเขาจะเป็นเจ้าของตำแหน่งนักเตะที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดในทีมชุดฟุตบอลโลกแล้ว เขายังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่ลงสนามเยอะที่สุดในทีมชุดนี้ และรอที่จะทำสถิติเทียบเท่า มาร์ค ชวาร์เซอร์ เจ้าของสถิติติดทีมชาติมากที่สุด 109 นัด หากว่าได้ลงเล่นในรอบแรกครบทั้ง 3 เกม ซึ่งด้วยอายุที่เยอะขึ้น
นี่คือการมาเล่นฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 4 ของเขาแล้ว ซึ่งสองครั้งหลังสุดไม่สามารถที่จะช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้ แต่ก็ยังฝากผลงานการยิงประตูสุดสวยเอาไว้ในเกมกับฮอลแลนด์ อย่างไรก็ตามระยะหลัง ทิม เคฮิลล์ ตกเป็นเพียงแค่ตัวสำรองเท่านั้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเขาคือคนที่ทำประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ ซีเรีย จนผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาได้ แน่นอนว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงเป็นตัวจริง แต่ก็น่าจะได้โอกาสที่จะลงมาใช้ประสบการณ์ช่วยพลิกสถานการณ์ให้กับทีม และมีลุ้นที่จะเป็นตัวความหวังของทีมอยู่
ซาร์ดาร์ อัซมูน (อิหร่าน)| สถิติลงเล่น 33 นัด ยิงได้ 23 ประตู
อีกหนึ่งชาติมหาอำนาจลูกหนังในทวีปเอเชีย ไม่เคยขาดแคลนนักเตะฝีเท้าดีแม้ว่าจะสิ้นยุคของดาวเตะระดับตำนานที่แฟนบอลคุ้นชื่อดีอย่าง อาลี ดาอี, อาลี คาริมี่ หรือ เมห์ดี้ มาดาวิเกีย แต่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้พวกเขามี ดาวเตะอย่าง ซาร์ดาร์ อัซมูน ที่มึฉายาว่าเป็น เมสซี่แห่งอิหร่าน เป็นตัวความหวัง โดยดาวเตะรายนี้ค้าแข้งอยู่กับ รูบิน คาซาน ในลีกรัสเซีย และเล่นในดินแดนหมีขาวมาตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งตัวเขาน่าจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมต่างๆของเจ้าภาพเป็นอย่างดี และน่าที่จะช่วยให้ เพื่อนร่วมชาติสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ด้วย
อัซมูน ถือว่าเป็นความหวังใหม่ของฟุตบอลอิหร่าน เพราะติดทีมชาติมาตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี จนไต่เต้าขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2014 ตั้งแต่อายุเพิ่งจะ 19 ปีเท่านั้น ซึ่งในรอบคัดเลือกเขาก็ยิงประตูสำคัญๆให้ทีม อาทิประตูชัยในเกมกับ เกาหลีใต้ หรือประตูในเกมกับอุซเบกิสถาน ทำให้ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย นอกจากนี้เขาคือคนที่มีสถิติการยิงประตูที่ดี เพราะว่ายิงได้ 23 ประตูจากการเล่น 33 นัดเท่านั้น ซึ่งค่าเฉลี่ยนั้นเกือบๆที่จะถึง 1 ประตูต่อ 1 เกมเลยทีเดียว แน่นอนว่าในฟุตบอลโลกหนนี้เขาจะเป็นกำลังสำคัญของอิหร่านอย่างไม่ต้องสงสัย
ชินจิ โอกาซากิ (ญี่ปุ่น) | สถิติลงเล่น 113 นัด ยิงได้ 50 ประตู
ทีมชาติญี่ปุ่นกลายเป็นขาประจำของฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1998 ที่เข้าร่วมครั้งแรก และหลังจากนั้นลูกพระอาทิตย์ ไม่เคยพลาดโอกาสในการมาเล่นในรอบสุดท้ายซักครั้ง แต่ผลงานดีที่สุดพวกเขาไปได้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในปี 2002 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพร่วมเท่านั้น ในการแข่งขันครั้งล่าสุดที่บราซิลเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผลงานก็น่าผิดหวังโดยตกรอบแรกโดยที่เอาชนะคู่แข่งไม่ได้แม้แต่นัดเดียว แถมก่อนที่จะมาเล่นทีมยังเจอปัญหาเปลี่ยนแปลงโค้ชก่อนเริ่มฟุตบอลโลกแค่ 2 เดือนเมื่อสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นตัดสินใจปลด วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช ออกและแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ ที่เคยคุมทีมชาติชุดโอลิมปิกที่อเมริกา ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์เอาชนะ บราซิล มาคุมทีมแทน
ความหวังของพวกเขาในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นกองหน้าอย่าง ชินจิ โอกาซากิ ที่มาเล่นด้วยการพกตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของทีมมาด้วย จากผลงานการลงสนาม 113 นัดยิงได้ 50 ประตู แต่ในครั้งนี้สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือผลงานส่วนตัวของนักเตะที่ยิงได้แค่ 6 ประตูเท่านั้น แม้ว่าจะมากที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกกับ เลสเตอร์ แต่นั้นคงไม่ใช่ฟอร์มที่แฟนบอลคาดหวัง
สำหรับฟุตบอลโลกหนนี้คือการมาเล่นเป็นครั้งที่ 3 ของเขาแล้ว ซึ่งสองครั้งก่อนหน้านี้ ดาวยิงวัย 32 ปี มีสถิติที่ค่อนข้างดี เพราะยิงประตูได้ทั้งสองครั้งต้องมาลุ้นว่าเขาจะยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งที่สามหรือไม่ และจะพาทีมชาติญี่ปุ่นผ่านด่านหินอย่าง โคลอมเบีย,เซเนกัล และ โปแลนด์ ผ่านเข้ารอบน็อตเอ้าท์ได้หรือไม่
โมฮัมหมัด อัล-ซะห์ลาวี (ซาอุดิอาระเบีย) | สถิติลงเล่น 40 นัด 28 ประตู
กรีน ฟอลคอนส์ กลับมาเล่นในรอบสุดท้ายได้อีกครั้ง หลังจากที่พลาดไปในสองครั้งก่อนที่เยอรมัน และ บราซิล แต่ก็กลับมาได้ในครั้งนี้ แม้ว่าจะลงสนามเกมแรกกับเจ้าภาพ และได้ผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง เพราะโดนเจ้าภาพต้อนไปขาดลอยถึง 5-0 แต่พวกเขาก็ยังเหลืออีก 2 เกมให้ได้แก้ตัว พร้อมกับดาวยิงตัวความหวังอย่าง โมฮัมหมัด อัล-ซะห์ลาวี ที่เกมแรกยังยิงประตูไม่ได้
ดาวยิงวัย 31 ปี ติดทีมชาติมาตั้งแต่ปี 2010 แต่เพิ่งมาได้เล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะว่าเพิ่งจะช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบได้ ซึ่งต้องบอกว่าเขาคือเบื้องหลังคนสำคัญที่ช่วยให้ ซาอุฯ กลับมาเล่นในรอบสุดท้ายได้อีกครั้ง หลังจากที่โชว์ฟอร์มยิงประตูในรอบคัดเลือกได้อย่างเป็นกอบเป็นกำทำให้ ทีมคว้าโควตาผ่านเข้ามาเล่นในฟุตบอลโลกแบบอัตโนมัติ แต่ว่าการลงสนามเกมแรกในรอบสุดท้ายของดาวยิงจาก อัล นาสเซอร์ ค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะว่าสร้างความอันตรายให้กับเจ้าบ้านไม้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว และยังถูกเปลี่ยนตัวออกก่อนจะจบเกมด้วย แต่อย่างไรก็ตามยังเหลืออีก 2 เกมให้เขาได้แก้ตัวกับ อุรุกวัย และ อียิปต์ ซึ่งเขาน่าจะทำทุกอย่าง อย่างน้อยก็ยิงประตูในฟุตบอลโลกให้ได้ เพราะไม่แน่นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาแล้วก็ได้
ซน ฮึง-มิน (เกาหลีใต้) | สถิติลงเล่น 67 นัด 21 ประตู
กองหน้าวัย 25 ปีชาวเกาหลีใต้ ที่ไม่เคยลงเล่นฟุตบอลอาชีพในบ้านเกิดของตัวเองมาก่อน เพราะย้ายมาฝึกวิชาลูกหนังในเยอรมัน ตั้งแต่อายุแค่ 18 ปีเท่านั้นกับฮัมบูร์ก และย้ายมาอยู่กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และถูก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทุ่มเงินซื้อตัวมาร่วมทัพ ซึ่งเข้าติดทีมชาติเกาหลีใต้ชุดใหญ่ตั้งแต่อายุแค่ 18 ปีเท่านั้น
และการลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่สองของเขากับทีม หลังจากที่เคยลงเล่นมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อนที่ประเทศบราซิล ซึ่งเขายิงได้ 1 ประตูในเกมกับ แอลจีเรีย แต่ก็ช่วยให้ทีมเก็บสามคะแนนไม่ได้แม้แต่เกมเดียว และตกรอบแรกโดยไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย และในตอนนี้เขากลายเป็นความหวังของทีมแบบเต็มตัว จากฟอร์มในระยะหลังที่ยอดเยี่ยมกับ สเปอร์ ที่เขาเล่นเคียงข้างกับ คริสเตียน อีริคเซ่น และ แฮรี่ เคน จนพาทีมบินสูง
ซึ่งซน ฮึง-มิน เป็นกำลังสำคัญของทีมชาติตลอดระยะเวลาหลัง แม้ว่าในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 จะยิงประตูได้แค่ 1 ลูกในเกมกับกาตาร์ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาจะเป็นความหวังสูงสุดของโสมขาวในการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้