ในวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคมนี้ ศึกโตโยต้า ไทยลีก จะมีเกมระดับซูเปอร์บิ๊กแมตช์ ที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเปิดรัง ช้างอารีน่า พบกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือการเจอกันของสองทีมที่ดีที่สุดในฟุตบอลไทยยุคนี้ หลักฐานคือ ชื่อของแชมป์ไทยลีกใน 10 ปีหลังสุดมีแค่ 2 ทีมนี้เท่านั้นที่ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ และไม่ว่าจะเจอกันในสภาพทีมแบบไหน อย่างไร แต่ว่าการพบกันของคู่นี้เป็นมากกว่าเกมฟุตบอลนั้นหนึ่งเสมอ และนี่คือ 5 เกมสุดมันเมื่อทั้งสองทีมฟาดแข้งกัน
กดลูกศรทางด้านขวาเพื่อร่วมติดตามไปกับเรา
เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 3-2 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด | โตโยต้า ไทยลีก 2016
ก่อนเกมนี้ มีอะไรที่เป็นมากกว่าการเจอกันของคู่ปรับ ฟุตบอลไทย เพราะนัดนี้ เป็นการลงสนามเจอกับทีมเก่าเป็นครั้งแรกของ ธีราทร บุญมาทัน นับตั้งแต่ดีลสุดช็อกที่เขาเลือกย้ายมาซบอก กิเลนผยอง อริเบอร์หนึ่งของต้นสังกัดเกม ซึ่งในเกมที เอสซีจี สเตเดี้ยม เป็นเกมแรกที่ แบ็กซ้ายตัวเก่งทีมชาติไทยลงเล่นในสีเสื้อที่ต่างออกไปทำให้บรรยากาศในสนามเร่งเร้ากว่าเดิม แต่เป็นทีมเยือนที่ได้ประตูออกนำไปก่อนจาก ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ดาวยิงตัวเก่งของทีม แต่ว่าเจ้าบ้านที่เคยปลดล็อคเอาชนะบุรีรัมย์ มาได้แล้ว ค่อยๆบดบี้คู่แข่ง และมาตามทวงคืนได้จากความยอดเยี่ยมของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่กระชากบอลผ่าน เพื่อนรักต่างสีเสื้ออย่าง นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม เข้าไปยิงให้กิเลนผยองตามตีเสมอ ก่อนที่ครึ่งหลัง สารัช อยู่เย็น จะยิงประตูสุดสวยเป็นประตูให้เจ้าบ้านออกนำอีกครั้ง และมาได้ เคลตัน ซิลวา ที่มาโขกปิดกล่อง แม้ว่า ทีมเยือนจะไล่ตีตื้นมาจาก อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ แต่ก็ไกลไม่ทันจบเกมพ่ายไปด้วยสกอร์ 3-2 และในฤดูกาลดังกล่าว เมืองทอง ยูไนเต็ด เข้าป้ายด้วยการคว้าแชมป์ไปครอง
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-3 เมืองทอง ยูไนเต็ด | โตโยต้า ไทยลีก 2016
ก่อนที่ทั้งสองทีมจะลงสนามเจอกันในเกมนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถือครองสถิติไร้พ่ายเหนือ คู่รักคู่แค้นอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เพราะพวกเขาไม่เคยปราชัยต่อ คู่แข่งเลยแม้แต่เกมเดียว ไม่ว่าจะเป็นการพบเจอกันที่ไหน และในรายการไหน จนมีวลีที่ว่า “แพ้ใครก็ได้แต่ไม่แพ้เมืองทอง” แต่ใครจะรู้ว่าหลังสิ้นเสียงนกหวีดเกมนี้ จะกลายเป็นอวสานของวลีนี้ เมื่อ กิเลนผยอง ระเบิดฟอร์ม บุกไปถล่มเอาชนะ ปราสาทสายฟ้า ถึงรังด้วยสกอร์ ที่แสนจะขาดลอย 3-0 โดยได้ประตูออกนำก่อนจาก เคลตัน ซิลวา กองหน้าแซมบ้าตัวเก่ง ในเกมที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เพิ่งย้ายมาร่วมทัพเมืองทอง โชว์ฟอร์มเป็นพระเอก ก่อนที่ อดิศักดิ์ ไกรษร อดีตเด็กเก่าจะทำแสบด้วยการยิงประตูใส่ต้นสังกัดเดิม และเคลตัน ซิลวา ปิดท้ายประตูที่สามให้เกมจบอย่างไม่เป็นทางการ ตั้งแต่ 37 นาทีแรก และนั่นคือการประกาศเอกราชเหนือคู่ปรับตลอดกาล ลบสถิติไม่เคยเอาชนะได้ถึงถิ่น ช้างอารีน่า (ไอโมบายสเตเดี้ยมในชื่อเดิม) จนเกมนี้กลายเป็นเกมแห่งความทรงจำของสาวกกิเลนผยอง
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 3-1 เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด | ช้าง เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ 2015
การเจอกันของทั้งสองทีม ถือว่าเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ยอมกันไม่ได้แล้ว ยิ่งมาเจอกันใน ฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ ที่เดิมพันกันด้วยถ้วยรางวัล ซึ่งเป็นการพบกันของสองทีมที่ดีที่สุดในประเทศไทยเป็นครั้งที่ 2 ในเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ เกมนี้แข่งขันกันที่สนามศุภชลาศัยสังเวียนแข้งที่เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง และเกมนัดนี้สมาคมฟุตบอลใช้ผู้ตัดสินจากประเทศญี่ปุ่นลงทำหน้าที่ และเกมก็เดือดสมอย่างที่แฟนบอลอยากจะเห็น เมื่อทั้งสองทีมชิงไหวพริบและเปิดเกมบุกแลกกันตลอด จนกระทั่งท้ายครึ่งแรก เมืองทอง มาเสียท่า โดนจุดโทษจากจังหวะที่ ปิยพล บรรเทา ไปหวดใส่ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต ในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจุดโทษทันที และเป็น อันเดรียส ตูเญซ ที่สังหารเข้าไป ครึ่งหลัง โก ซุล กิ บวกประเพิ่มจากลูกโหม่ง และปิดท้ายที่ จักรพันธ์ แก้วพรม ปั่นโค้งเป็นประตูสุดสวยใส่ทีมเก่าได้ แต่กิเลนผยองไม่ยอมแพ้ มาตีไข่แตกได้จาก มาริโอ ยูรอฟสกี้ แต่ก็ไล่ไม่ทัน จบเกมพวกเขาไม่สามารถหยุด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คู่แค้นให้คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้ ด้วยการพ่ายไป 3-1
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-2 เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด | โตโยต้า ไทยลีก 2015
ก่อนการเจอกันนัดนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังคงกำเอาสถิติไม่เคยพ่ายต่อ เมืองทอง เอาไว้อย่างเหนียวแน่น แถมเมืองทอง ยังไม่เคยยิงพวกเขาได้เกมละมากกว่า 1 ประตู แต่หลังจบเกมนี้ มีสถิติอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไป เริ่มเกม กิเลนผยอง ออกตัวได้ดีกว่า เมื่อ มาริโอ ยูรอฟสกี้ จอมแสบซัดประตูให้ทีมเยือนบุกขึ้นนำก่อน 1-0 แต่ครึ่งหลัง เจ้าถิ่นมาเร่งเครื่องซัด 2 ประตู จากการทำเข้าประตูตัวเองของ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และ ฮีโร่ คนเดิมอย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ที่พังประตูขึ้นนำ เกมทำท่าจะจบลงที่ชัยชนะของเจ้าบ้านเหมือนอย่างเคยๆ แต่ว่า ฐิติพันธ์ เติมขึ้นมาแก้ตัวแล้วจ่ายบอลให้ เคลตัน ซิลวา กระทุ้งจ่อๆ เป็นประตูให้ เมืองทอง ตามตีเสมอในนาทีที่ 86 ทำให้จบเกมเสมอกันไปอย่างสุดมัน 2-2
เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 0-1 บุรีรัมย์ เอฟเอคัพ |มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ 2011
ว่ากันว่านี้คือฟุตบอล เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศที่ดีที่สุดตลอดกาลอีกเกมหนึ่งของฟุตบอลไทย ในการเจอกันของ สองทีมที่กำลังสร้างกระแสนิยมของฟุตบอลลีกไทย ขึ้นมา ระหว่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ตอนนั้นมี ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ อดีตกองหน้าทีมดังขวัญใจมหาชนอย่าง ลิเวอร์พูล รับบทผู้เล่นและผู้จัดการทีม ลงสนามพบกับ บุรีรัมย์ ที่ต้องการคว้าดับเบิ้ลแชมป์หลังจากที่คว้าแชมป์ไทยลีกไปแล้ว (เกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ แข่งขันก่อนลีกคัพ ที่บุรีรัมย์ เอาชนะ การท่าเรือคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์) ทั้งสองทีมต่อสู้กันอย่างดุเดือดตลอดเกม 90 นาที แต่จบลงที่ผลเสมอ 0-0 และต้องเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ หลายคนมองไปที่การยิงจุดโทษตัดสินเกมแล้ว แต่ว่า ปราสาทสายฟ้ามาได้ ฟรงค์ อาเชียมปง สวมบทฮีโร่ ซัดประตูชัยแสกหน้า กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ช่วยให้ บุรีรัมย์ คว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ และจบฤดูกาลนั้นทีมปราสาทสายฟ้าคว้าทริปเบิ้ลแชมป์แรกมาครองได้