เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ฟุตบอลไทย

FIVE SWEET SPOTS:5 ประเด็นหลังบุรีรัมย์บุกดับเจจูทะลุรอบ16ศึกACL

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทะลุเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีกได้ หลังจากบุกไปเอาชนะ เจจู ยูไนเต็ด จากเกาหลีใต้ 1-0 จากประตูชัยของ กรกช วิริยอุดมศิริ แบ็กซ้ายของทีม และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าสนใจจากเกมนี้

 

กดลูกศรทางด้านขวาเพื่อร่วมติดตามไปกับเรา

เข้ารอบน็อคเอ้าท์ในรอบ 5 ปี

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เคยผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ในรายการนี้ครั้งเดียวในปี 2013 และในปีนั้นพวกเขาไปได้ไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนที่จะไปพ่าย เอสเตกฮลัล จากอิหร่าน ในตอนที่ยังใช้ระบบเดิมคือการไม่ได้แบ่งแยกสายตะวันออกและตะวันตกที่จะมีโอกาสมาเจอกันในเกมเดียว คือรอบชิงชนะเลิศเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้ แต่หลังจากนั้น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ไม่เคยไปได้ไกลกว่ารอบแรกเลย แม้ว่าพวกเจาจะเต็มที่กับรายการนี้ในทุกๆปี และการทำผลงานให้ยอดเยี่ยมในถ้วยเอเชียเมื่อแบกศักดิ์ศรีของการเป็นตัวแทนจากประเทศไทยลงเล่น แต่ก็ไม่เคยทำได้จนกระทั่งในครั้งนี้ ที่พวกเขาบุกไปเอาชนะ เจจู ยูไนเต็ด จนเก็บได้ 9 คะแนน ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มจี ตามหลัง กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ จากจีนเข้ารอบ

ปลดล็อคดวลกับทีมจากเกาหลีใต้

ที่ผ่านมาถือว่าทีมจากไทย และตัวแทนจากประเทศอย่างญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่มีลีกที่แข็งแกร่งและมาตรฐานสูงกว่าบ้านเรา ทำให้ที่ผ่านมายังไม่เคยมีทีมจากไทยทีมไหนเลยที่สามารถบุกไปเอาชนะทีมจากเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้ถึงในรัง อย่างดีที่สุดคือเก็บ 1 แต้มออกมาเท่านั้น แต่ในเกมนี้ จากชัยชนะเหนือ เจจู ยูไนเต็ด ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะถูกบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นตัวแทนจากไทยทีมแรกที่สามารถบุกมาเอาชนะทีมจากเกาหลีใต้ได้ถึงถิ่น แถมยังเป็นชัยชนะที่สำคัญเพราะทำให้พวกเขาสามารถทะลุผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

ประตูจากชาวบุรีรัมย์คอนเนคชั่น

สิ่งที่ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่าง เนวิน ชิดชอบ ต้องการที่จะสร้างขึ้นมาคือความเป็นท้องถิ่นนิยม ด้วยการดึงตัวเอานักเตะที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดบุรีรัมย์ หรือเยาวชนที่ปั้นขึ้นมาเองให้ขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม ซึ่งประตูชัยในเกมนี้ของพวกเขาน่าจะเป็นประตูที่ทำให้ ประธานสโมสรยิ้มแก้มปริ เพราะเป็นประตูที่ได้มาจากคอนเนคชั่นของสองนักเตะที่เป็นชาวบุรีรัมย์ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเด็กปั้นของทีมตั้งแต่แรก จากการประสานงานของ ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่เล่นนี้เล่นแบ็กขวาแล้วสอดขึ้นมารับบอลจาก ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ก่อนหลบสองผู้เล่น เจจู ไปจ่ายให้ กรกช วิริยอุดมศิริ แทปอินเข้าไปง่ายๆ ซึ่งประตูนี้ยังเป็นประตูเดียวในรอบแบ่งกลุ่ม ที่เป็นผลงานของนักเตะชาวไทยในสังกัดของบุรีรัมย์ อีกด้วย ซึ่งมันกลายเป็นประตูที่ทำให้ทีมผ่านเข้ารอบต่อไปได้อีกด้วย

มีความหลากหลายในแท็คติก

เกมนี้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด  ที่แม้ว่าจะต้องการผลการแข่งขันเพียงอย่างเดียวคือชัยชนะ แต่ก็มีการวางรูปแบบการเล่นที่หลากหลายเอาไว้ และในเกม เกมเดียว พวกเขาปรับรูปแบบการยืนตำแหน่งของทีมถึง 3 แผนการเล่นด้วยกัน โดยเริมต้น โบซิดาร์ บันโดวิช กุนซือจอมแท็คติกชาวเซอร์เบีย เลือกที่จะให้ลูกทีมออกสตาร์ทด้วยระบบการเล่น 4-4-2 ซึ่งแผงกลางยืนแบบไดมอนด์ โดยมี ประวีณวัช บุญยงค์ เล่นกองกลางตัวรับ  ต่างจากปกติที่มักจะเล่นด้วยระบบกองหลัง 3 คน แต่เมื่อเล่นไปซักพัก ทีมกลับมายืนในรูปแบบถนัด คือกองหลังสามคน ในระบบ 3-5-2 และให้ดาวเตะที่ยืมมาจากบีจี ปรับมายืนเป็นเซนเตอร์ตามเดิม จนกระทั่งทีมได้ประตูนำ วิงแบ็กสองข้างถูกปรับมาให้เล่นเป็นแบ็กเพื่อเน้นเกมรับโดยถุกกำชับไม่ให้เติมเกม แผนการเล่นจึงถูกปรับอีกครั้งเป็นแผน 5-4-1 ซึ่งคราวนี้มีตัวเก๋าอย่าง สุเชาว์ นุชนุ่ม ที่ลงไปเป็นตัวสำรอง คอยมายืนเป็นกองกลางตัวรับ และห้อย เอ็ดการ์ ไว้คอยเก็บบอล ซึ่งจากทั้งสามแผนนักเตะของบุรีรัมย์ ตอบสนองการยืนตำแหน่งและเล่นตามแท็คติกได้เป็นอย่างดี จนเป็นกุญแจไปสู่สามแต้มสำคัญในเกมนี้

ต่อยอดผลงานตัวแทนไทย

หลังจากการจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมตัวแทนจากไทยอย่าง บีอีซี เทโรศาสน ไปได้ไกลที่สุดถึงตำแหน่งรองแชมป์ ในระบบการจัดการแข่งขันแบบเก่าที่ใช้เจ้าภาพในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะมาแข่งขันแบบเหย้าเยือน จากนั้นผลงานของทีมจากไทยในรายการนี้ก็ดูจะเป็นเส้นขนาน ซึ่งส่วนใหญ่ตัวแทนจากไทยมักจะยืนระยะสู้กับเสือ สิงห์ กระทิง แรด จากลีกชั้นนำทางฝั่งตะวันออกไม่ไหว แต่ในฤดูกาลที่แล้ว ตัวแทนจากไทยอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด สามารถทะลุเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ จนมาฤดูกาลนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร และเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกันที่ตัวแทนจากไทยลีกผ่านเข้าถึงรอบน็อคเอ้าท์ได้ ถือว่าเป็นมาตรวัดได้ดีกว่า สโมสรจากไทยค่อยๆมีความแข็งแกร่งและสามารถรับมือกับทีมชั้นนำในทวีปเอเชียได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้โควตาต่างชาติ 3+1 ที่การันตีการพัฒนานักเตะภายในประเทศซึ่งจะต้องเป็นแกนหลักของทีมในรายการนี้ คงต้องจับตาต่อไปว่า ปราสาทสายฟ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน