TRIBE : ตอนเป็นล่ามให้ย้า อุปสรรคที่หนักสำหรับเราที่สุด
CHAMP : ตอนพี่มา ย้าเขาหมดกำลังใจแล้ว พี่ไปเดือนสิงหาคม และย้าเขาอยากกลับบ้าน ตอนแรกย้าไม่เปิดใจเลย ลองสังเกตว่าตอนหลังๆ ที่พี่ได้เป็นไปล่าม ก่อนกลับมาไทย เขามีรอยยิ้มมากขึ้น
ตอนแรกที่สิ่งที่ยากที่สุดคือดึงย้ากลับมาให้ตั้งใจเล่น คือเราไปตอนที่เขาติดลบ เขาไม่เปิดรับ เราก็พยายามคุย ชวนออกมากินข้าว มาปรับทัศนคติ ตั้งเป้าหมายร่วมกัน คุยสไตล์การคิดคนญี่ปุ่น ของโค้ช เพื่อนร่วมทีม ว่าเขาคิดอย่างไร และต้องการอย่างไร คุยให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ผ่านมา มันต่างจากตอนมุ้ย เราจูนเข้าหากันเลย มันเริ่มจากศูนย์ และบวกขึ้นเร็วมาก แต่ของย้ามันเริ่มจากติดลบ 99 เปอร์เซ็น เจอกันครั้งแรก ย้าไม่มองหน้าเลย ฟีลเหมือนว่าพี่มาทำไม ใครจ้างพี่มา ผมจะกลับอยู่แล้ว ก่อนที่จะมาคาโงชิมา เราก็พยายามคุยกับเขา ไลน์หาเขา เขาไม่ตอบเราเลย เขาตอบครับคำเดียว
TRIBE : หลังจากนั้นเป็นอย่างไร
CHAMP : พอเริ่มคุย และย้ากลับมามีชื่อติดอีกครั้ง เขาเริ่มแฮปปี้ เปิดใจคุยกับเราทุกเรื่อง ผลงานดีขึ้น และได้เรียกกลับไปติดทีมชาติ เหมือนเราได้พาเขามายืนในจุดที่เคยเป็นได้ สภาพจิตใจ ความฟิต นำไปใช้ในทีมชาติ ตอนนี้เราโคตรดีใจที่เขากลับมาได้ เขาเป็นคนเก่งนะ เพื่อนร่วมทีมก็ยอมรับนะ เหลือแค่สื่อสารกับการเล่นเกมรับเวลาเล่นกองหน้าแค่นั้นเอง ถ้าปรับได้ย้าจะเป็นที่ยอมรับจากญี่ปุ่นอีกคนเลย
TRIBE : ย้ามีบอกเราหรือเปล่าว่าอะไรคืออุปสรรคสำคัญสุดในการมาค้าแข้งญี่ปุ่นของเขา
CHAMP : เรื่องไม่เข้าใจเวลาสอน เวลาโค้ชสั่ง กว่าย้าจะเข้าใจ ย้าต้องพลาดไปแล้วสองครั้ง สิ่งที่เขาทำมันผิด ซึ่งโค้ชได้ตัดสินไปแล้วว่าย้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาสอน และจะส่งย้าลงไปตัวจริงได้อย่างไร พอเริ่มเข้าใจ โค้ชก็กลับมาใส่ชื่ออีกครั้ง จนได้ลงตอนท้ายฤดูกาล 15 นาทีสุดท้ายก่อนกลับมาช่วยทีมชาติไทย ย้าบอกเลยว่าเหมือนได้ความเชื่อถือในตัวโค้ชกลับมา หลังจากนั้นซ้อมเสร็จช่วงแย่ๆเขาชิ่งกลับบ้านเลย ไม่คุยกับใคร แต่พอหลังจากเจอกันเดือนนึง ก็เริ่มคุยมากขึ้น เริ่มมีวิ่งเพิ่มเติมเรียกความฟิต เปลี่ยนไปทางที่ดี ยิ้มมากขึ้น
TRIBE : มีแอบเสียดายอนาคตของย้าที่ตัดสินไม่อยู่ต่อ แล้วใจกลับไทยไหม
CHAMP : เสียดายนะ จริงๆตอนแรก ถ้าย้าต่ออีกปี ผมก็ไม่ได้มาเป็นล่ามมุ้ยนะ เราตกลงกันไว้แล้ว แต่ก็มีโทรไปบอกนะว่าถ้ากลับมาญี่ปุ่นจะตามไปเป็นล่ามให้ ในตอนที่ยังไม่เป็นล่ามมุ้ยนะ
TRIBE : แล้วมาเป็นล่ามให้มุ้ยได้อย่างไร
CHAMP : พอเริ่มปีใหม่ เราก็หมดสัญญากับคาโงชิมา ก็ได้รับการทาบทามจากพี่ทิ (ล่ามของชนาธิป สรงกระสินธ์) ก็เห็นว่าย้าน่าจะไม่ต่อและ ก็เลยมารับงานนี้
TRIBE : ได้ข่าวว่าเป็นแฟนคลับมุ้ยด้วย
CHAMP : ต้องบอกว่าเขาเป็นกองหน้าที่เรายอมรับในฝีเท้า จะหาคนมาแทนยากมาก ถ้าจะมีจริงๆ เอาตรงๆคงต้องรอย้าโต เราเห็นย้าซ้อมมาตลอด เขายิงคมมาก เราก็รู้ว่าคนนี้สามารถขึ้นมาแทนได้ แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์อยู่
TRIBE : มองภาพมุ้ยตอนแรกก่อนที่มาร่วมงานกัน คิดว่าเป็นคนแบบไหน
CHAMP : น่าจะเหมือนกับคนไทยทุกคน คุยยาก ก็ได้ยินข่าวลือมาว่าโลกส่วนตัวสูง เราก็กลัวว่า และเขาไม่คุยกับเรา จะทำงานได้ไหม แต่ก็ได้ช่วงเดือนมกราคม ที่เมืองทองให้เราไปคลุกคลีกับนักเตะ และให้ไปเป็นล่ามอาโอยามะด้วย
TRIBE : บรรยากาศวันแรกที่เจอกันล่ะ?
CHAMP : วันแรกที่เข้าไปพี่ทิเข้าไปด้วย และก็แนะนำว่านี่แชมป์นะ ที่จะตามมุ้ยไปอยู่ญี่ปุ่นด้วย ก็เลยได้คุยกัน แต่ไม่เยอะ พวกเราเรียนอัสสัมชัญเหมือนกัน เครือเดียวกัน ไปญี่ปุ่นมา 12 ปี มีอะไรก็ถามได้ ตอนแรกเกร็งๆอยู่ พอพี่ทิเริ่มไม่มา มุ้ยเป็นฝ่ายเข้าหาผม ผมก็อยากเข้าหาอยู่แล้ว เพราะผมต้องซัพพอร์ตเขา เขาก็เข้าหาผมเช่นกัน ตอนอยู่เมืองทองเขาก็เลี้ยงกาแฟ แบบเห้ย นักเตะระดับเบอร์หนึ่งมาถามเราเอากาแฟไหม ฮ่า ฮ่า เขาเฟรนลี่นะ ต่อให้เก็บตัวที่กิเลน วัลเลย์ เขาก็โทรมาคุยกับเราเรื่อยๆ พยายามถามญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง เขาซ้อมกันอย่างไร ค่อนข้างเฟรนลี่ คุยง่ายมาก คนละเรื่องกับที่คิดไว้เลย
ก่อนหน้านี้เราไปดูเมืองทอง เกมเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก และนัดนั้นแพ้ ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดี เราก็เอะใจจะขอถ่ายรูปดีไหมน้า เลยทำให้ตอนแรกภาพในหัวของเรา ไม่ค่อยชอบคุยกับสื่อ ไม่คุยกับใครเท่าไหร่ คงสนใจฟุตบอลอย่างเดียว พอมาอยู่ด้วยกัน คุยเล่นเฮฮา มุ้ยพูดเก่งมากนะ เล่าเรื่องตลกตลอด
TRIBE : จากแต่ก่อนที่เป็นแฟนบอลติดตามผลงานมุ้ย ตอนนี้ก้าวมาเป็นล่ามคู่ใจ คิดว่าสิ่งไหนในตัวมุ้ยที่แฟนบอลอาจจะยังไม่รู้ว่าเขามีมุมแบบนี้
CHAMP : ถ้าเป็นคนที่คิดว่ามุ้ยโลกส่วนตัวสูง ไม่สนใจใคร จริงๆแล้ว เขาเฟรนลี่มาก ถ้ารู้จักกันจริงๆ ใจดี เทคแคร์คน