ทีมชาติไทย ฟุตบอลทีมชาติ

THE WEAPONS : 5 อาวุธเด็ดทีมชาติไทยลุ้นใช้นัดชิงคิงส์คัพ

 

ทีมชาติไทย กรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 46 จากการดวลจุดโทษเอาชนะทีมชาติกาบองไปแบบสุดระทึก 4-2 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรอชนกับทีมชาติสโลวาเกีย ต่อไป

แน่นอนว่าการดวลแข้งกับทีมอันดับฟีฟาแรงกิ้ง 29 ของโลกนั้นไม่ใช่งานง่าย เพราะขุนพลสโลวักชุดนี้ยังมีขุมกำลังสำคัญทั้ง มาร์ติน ดูบราฟกา ผู้รักษาประตูของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, มาร์ติน สเคอร์เทล กองหลังกัปตันทีม หรือแม้แต่ มิลาน สคริเนียร์ แข้งอินเตอร์ มิลาน ฯลฯ อย่างไรก็ดี จากผลงานในเกมแรกกับกาบอง ก็ชี้ให้เห็นว่าทัพช้างศึกมีทีเด็ดพร้อมดวลทุกทีมตลอด 90 นาที และนี่คือ5 อาวุธเด็ดทีมชาติไทยชิงคิงส์คัพ

กด Next เพื่ออ่าน

 

1. คู่กองหลังเด่นทั้งรับและรุก

นอกจากแท็คติกการเล่นเกมรับอันหนักแน่น ที่มิโลวาน ราเยวัชมักยึดเป็นรูปแบบการเล่นหลักของขุนพลทีมชาติไทยมาโดยตลอด ผ่านสองคู่ปราการหลังอย่างเฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว และ พรรษา เหมวิบูลย์ โดยในการแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 นัดแรกที่ไทยมีคิวดวลกาบอง นอกจากสองคู่ปราการหลังจะช่วยกันสกัดเกมรุกคู่แข่ง บีบพื้นที่ไม่ให้เหล่าเกมบุกจากแอฟริกาเข้าโจมตีได้ง่าย นำไปสู่สถิติที่คู่แข่งจบสกอร์ตรงกรอบเพียงหนเดียว อีกทั้งแข้งเบอร์ 4 และ 6 ยังมีโอกาสขึ้นมาช่วยเล่นเกมรุกชนิดได้ลุ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ลูกยิงหน้าปากประตูของเฉลิมพงษ์, ช็อตซัดไกลเกือบ 30 หลาของพรรษา เหมวิบูลย์ และจากจุดเด่นดังกล่าวนี้เองก็มีสิทธิ์ทำให้สโลวาเกีย คู่แข่งในนัดชิงจะประมาทเกมรับอันเหนียวแน่น หรือปล่อยให้ทั้งสองมีโอกาสขึ้นมาเติมเกมรุก มิเช่นนั้นอาจถูกทักทายผ่านการโจมตีเหมือนที่กาบองโดนก็เป็นได้

 

2. ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของแนวรุกเข้าโจมตี

จะเห็นว่าตลอดการแข่ง 90 นาที ทีมชาติไทยมีการเล่นเกมรุกเข้าทำทีมชาติกาบองชนิดสู้ได้สนุก อีกทั้งผู้เล่นในตำแหน่งเกมบุกแต่ละคน ต่างก็มีคุณสมบัติเด่นต่างกันไป อย่างความคล่อง พาบอลไปกับตัวเองได้ดีของชนาธิป สรงกระสินธ์, บดินทร์ ผาลา รวมถึง นูรูล ศรียานเก็ม หรือแม้แต่ความโดดเด่นทั้งเกมรับและรุกของธีราทร บุญมาทัน ฯลฯ ซึ่งในจุดนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งอาวุธเด็ดที่มิโลวาน ราเยวัช อาจเลือกมาปรับใช้ในเกมนัดชิงชนะเลิศกับสโลวาเกีย ซึ่งรูปแบบการความสามารถเฉพาะตัวนี้เอง เคยเห็นภาพเด่นชัดจากแท็คติกที่โค้ชเลือดเซิร์บใช้กับการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นก่อน แล้วใช้อาวุธการเล่นสวนกลับผ่านจุดเด่นของนักเตะแต่ละคน

 

3. ตัวสำรองลุ้นพลิกเกม

อีกเหตุปัจจัยที่ทัพช้างศึกมีรูปแบบการเข้าทำที่ลุ้นได้ประตูบ่อยครั้ง เกิดจากการที่ราเยวัชตัดสินใจให้โอกาสผู้เล่นตัวสำรองลงมาพลิกเกม โดยเฉพาะสองแข้งจากการท่าเรืออย่าง บดินทร์ ผาลา และ นูรูล ศรียามเก็ม ที่แทบจะมีส่วนกับทุกการเข้าทำของช้างศึกหลังจากที่เปลี่ยนลงมาในสนาม อาทิ จังหวะลุ้นยิงหน้าปากประตูของบดินทร์ หรือลีลาการลุ้นยิงและจ่ายบอลของนูรูล ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้แผงรับกาบองไม่น้อย

นอกจากนี้ เหล่าตัวสำรองที่เหลือที่ยังไม่มีโอกาสลงสนาม แต่ละคนต่างก็มีจุดเด่นต่างกันออกไปตามแต่โค้ชชาวเซอร์เบียจะใช้งาน เช่น นิติพงษ์ เสลานนท์ แบ็คขวาที่โดดเด่นทั้งเกมรับและรุกที่วิ่งไม่มีหมด, ศุภโชค สารชาติ ดาวรุ่งที่ยึดตัวหลักให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดไปแล้ว, ปกเกล้า อนันต์ อีกหนึ่งกองกลางที่ยิงบอลจากแถวสองได้แม่นยำ หรือแม้แต่สิโรจน์ ฉัตรทอง แนวรุกร่างบึกที่มักจะมีประโยชน์กับการเล่นเกมรุกให้ไทยกับบทบาทตัวสำรองมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

 

4. เรื่องเซฟประตูไว้ใจกวินทร์

เนื่องจากมิโลวาน ราเยวัช มักเลือกใช้แท็คติกการเล่นเกมรับเป็นหลัก ซึ่งนอกเหนือไปจากตำแหน่งผู้เล่นตำแหน่งกองหลังแล้ว อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ชี้วัดผลงานคือผู้รักษาประตู และในเกมคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 นี้ “ตอง” ยังคงได้รับความไว้วางใจในฐานะนายทวารมือหนึ่งให้กับทีม แถมยังสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติไทยอีกครั้ง และแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่น อ่านเกมคู่แข่งได้เฉียบขาดในเกมดวลกับทีมชาติกาบอง อย่างการป้องกันลูกยิงของโอบาเม เอ็นด็อง ที่เติมเกมขึ้นมาได้ซัดในกรอบแฉลบ ฟิลิป โรลเลอร์ ที่สุดท้ายกวินทร์ยังตามมารับไว้ได้ รวมถึงจังหวะเซฟจุดโทษสำคัญถึง 2 ครั้ง 2 ครา ช่วยให้ไทยเอาชนะผู้มาเยือนจากแอฟริกา ซึ่งจากความไว้ใจได้ของนายด่านโอเอช ลูเวินนี้ จะช่วยให้ทีมใช้แทคติกรับแล้วโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้จะอาจจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการพิชิตสโลวาเกียได้ในนัดชิงชนะเลิศ

 

5. ความเก๋าเกมที่มากขึ้นจากสี่แข้งต่างแดน

ทีมชาติไทยชุดนี้มีนักเตะที่ออกไปค้าแข้งในต่างแดนอยู่ในทีมถึง 4 คน คือ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน), ธีรศิลป์ แดงดา (ซานเฟรชเช ฮิโรชิมา), ธีราธร บุญมาทัน (วิสเซล โกเบ) และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล ซัปโปโร) และจากผลงานของแต่ละคนในเกมแรกในการดวลกาบอง เหล่าผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ที่ลงสนามทั้ง มุ้ย, อุ้ม และเจ ต่างก็เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเกม เห็นได้จากการกล้าเล่นกล้าลุย โชว์ทักษะการจ่ายบอล สร้างสรรค์เกมรุกยามที่พบกับนักเตะกาบอง ที่หลายคนค้าแข้งอยู่ในลีกยุโรปได้อย่างสูสี อย่างโอกาสสร้างเกมรุกของชนาธิป ที่มีทั้งการหาพื้นที่ยิงเองและจ่ายให้เพื่อนลุ้นยิงประตู โดยเฉพาะช็อตไหลบอลให้มงคล ทศไกรลุ้นทำประตูในท้ายครึ่งแรก รวมถึงประสานงานร่วมกับธีราทร บุญมาทัน ช่วงต้นครึ่งหลังแบบไหลลื่น ที่สุดท้าย “อุ้ม” ได้ลองกึ่งยิงกึ่งผ่านหลุดออกเสาสองไปนิดเดียว เป็นต้น

ขณะที่กวินทร์ ในฐานะผู้รักษาประตูก็โชว์เซฟจุดโทษสองหนติด พาไทยลุ้นป้องกันแชมป์อีกครั้ง ซึ่งจากความเก๋าเกมนี้อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยตัดสินเกม หรือช่วยพลิกเกมเวลาที่ทีมอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากในเกมนัดชิงชนะเลิศกับสโลวาเกียก็เป็นได้