“การ์ตูน” สองพยางค์สั้นๆที่หลายคนมองเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นแค่เรื่องในจินตนาการ แต่สำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น ที่เปรียบเสมือนต้นตำหรับในการสร้างเรื่องราวเหล่านี้ มันคือส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่จะพาไปถึงจุดหมายแห่งความฝัน…
“กัปตันซึบาสะ” การ์ตูนดังจากญี่ปุ่นเริ่มเผยแพร่ในช่วงยุค 80 ที่เล่าเรื่องราวของ โอโซระ ซึบาสะ เด็กหนุ่มที่หลงไหลในรสชาติของลูกหนังตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ ไปจนถึงก้าวขึ้นสู่ระดับโลก จนกลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้นักฟุตบอลหลายคนมีแรงขับเคลื่อนที่จะไปให้ถึงจุดเดียวกับตัวละครนั้นๆ…ฮิโรโนริ ซารูตะ ก็เช่นกัน
กองกลางร่างเล็กที่เพิ่งประกาศยุติเส้นทางชีวิตค้าแข้งของตัวเองไปเมื่อไม่นานมานี้ก็มีการ์ตูนเรื่องนี้เป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจในเส้นทางลูกหนัง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตัดสินใจเริ่มเล่นฟุตบอล
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปี 1982 หนุ่มน้อยคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น และถูกตั้งชื่อว่า “ฮิโรโนริ ซารูตะ” โดยเขาเป็นลูกคนสุดท้องและมีพี่ชายหนึ่งคนที่ปัจจุบันเป็นครูสอนฟุตบอลอยู่ที่บ้านเกิด
ในยุคสมัยนั้นฟุตบอลที่ยังไม่เป็นที่นิยมในดินแดนอาทิตย์อุทัย ซารูตะเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบในการเล่นเบสบอลพร้อมกับคุณพ่อในทุกวันหยุดของเขา จนกระทั่งมาดูการ์ตูนเรื่องกัปตันซึบาสะ ทำให้ความฝันของเด็กหนุ่มวัย 7 ขวบในตอนนั้นตั้งเป้าหมายในชีวิตของตัวเองว่าจะต้องเป็นนักฟุตบอลให้ได้
“ซึบาสะทำให้ผมตั้งเป้าหมายอยากจะเป็นนักฟุตบอล ทำให้ผมมีความฝัน มีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นนักเตะระดับโลก และเขาเปรียบเสมือนครูคนแรกที่สอนฟุตบอลให้กับผม” ซารูตะบอกกับ Football Tribe Thailand
ซารูตะไม่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนสอนฟุตบอล เขาฝึกฝนด้วยตัวเองในทุกๆวันด้วยความมุ่งมั่น และครูคนแรกของเขาที่เป็นต้นแบบในเส้นทางสายลูกหนังก็คือ “โอโซระ ซึบาสะ” เด็กหนุ่มในจอแก้วที่เป็นคนสอนให้ฝึกท่าโอเวอร์เฮดคิก ตามแบบฉบับในหนังการ์ตูน
ชีวิตค้าแข้งของซารูตะเริ่มต้นอย่างจริงจังในปี 2005 ตอนนั้นอายุได้ 23 ปี และได้เป็นนักเตะของ เอฮิเมะ เอฟซี ทีมในเจลีก ดิวิชั่น2 แต่ผลงานก็ไม่ได้ถือว่าโดดเด่นจนได้โอกาสมาค้าแข้งที่เอสลีก ประเทศสิงคโปร์ กับสโมสรบาเลสเตียร์ คัลซา ในปี 2008 ก่อนจะเดินทางต่อมาแดนสยามร่วมทีม ศรีราชา เอฟซี ในปี 2009 และนั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลในประเทศไทยของเขา
ดาวเตะเลือดซามูไรทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในไทยพรีเมียร์ลีก เป็นกำลังหลักให้กับศรีราชาก่อนจะย้ายมาร่วมทีมยักษ์ใหญ่อย่างบางกอกกล๊าส เอฟซี เขาใช้เวลา 3 ปี ในถิ่นลีโอ สเตเดี้ยม ด้วยผลงานลงเล่นไป 120 นัดกับอีก 30 ประตู กลายเป็นนักเตะขวัญใจของชาวเดอะแรบบิทไปเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะย้ายมาสู่อ้อมอกของทีมดังย่านคลองเตยในฤดูกาล 2014
ถึงแม้ผลงานจะทำได้โดดเด่นกับการอยู่ในทีมการท่าเรือ เอฟซี แต่แล้วซารูตะก็จำเป็นต้องตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการไปเป็นนักเตะใหม่ให้กับทีมร่วมลีกอย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” เชียงราย ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2016 แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นโอกาสการลงสนาม และผลงานก็ดร็อปลงไป กระทั่งฤดูกาล 2017 ซารูตะ ย้ายไปร่วมทีมอุดรธานี เอฟซี ในศึกไทยลีก 3 ก่อนจะพาทีมคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีก 2 ได้สำเร็จ
แต่ใครจะรู้ว่านั่นจะเป็นปีสุดท้ายที่ซารูตะจะเล่นฟุตบอลในประเทศไทย ล่าสุดเขาได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ปิดฉากชีวิตค้าแข้งแดนสยาม 9 ปีไว้เพียงเท่านั้น
“ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาประเทศไทย จนถึงวันนี้ผมรู้สึกรักเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่สวยงาม และผู้คนมีน้ำใจมากๆ แฟนบอลให้การสนับสนุนผมตลอดมา ผมตั้งใจจะเล่นฟุตบอลที่นี่ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าร่างกายจะไม่ไหว รวมไปถึงการใช้ชีวิตหลังจากจบอาชีพนักฟุตบอลด้วย” ปีกร่างเล็กเผยความรู้สึก
“ผมจะรีไทร์จากการเป็นนักฟุตบอล ผมรู้สึกโชคดีมากๆ คนตัวเล็กอย่างผมที่สูงแค่ 160 เซนติเมตร เอาจริงๆ ผมไม่คิดว่าผมจะเล่นได้นานขนาดนี้ (หัวเราะ) ขอบคุณครับ ผมมีความสุขมากที่ได้เล่นฟุตบอลในประเทศไทย ผมจะรักเมืองไทยตลอดไป”
ซารูตะได้เรียนรู้หลายสิ่งอย่างทั้งวัฒนธรรม และภาษาที่ตัวเขาสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ รวมไปถึงตัวเขาได้ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวในดินแดนสยามแห่งนี้ ทว่าเป้าหมายก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตปักหลักที่เมืองไทยต่อไปแต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปบ้านเกิด
“ผมจะทำงานที่สถาบันฟุตบอลแห่งหนึ่งในเมืองโอซากาเราวางแผนที่จะจดทะเบียนสถาบันแห่งนี้ และจะใช้คอนเน็คชั่นของเอเชียให้เกิดประโยชน์ เราจะเชื่อมโยงญี่ปุ่นและเอเชียเข้าด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ เพื่อความสำเร็จ ผมอยากจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆทุกวัน”
อย่างไรก็ตามแม้ซารูตะจะยังไม่เคยคว้าแชมป์ใดๆตลอดเวลากับอาชีพนักฟุตบอลในประเทศไทย ถึงแม้จะไม่ใช่นักฟุตบอลที่เก่งจนติดทีมชาติ หรือโลดแล่นในเวทีระดับโลก เช่นเดียวกับซึบาสะที่เป็นไอดอลของเขาตลอดมา แต่แรงบันดาลใจนี้ก็ทำให้เขาเติบโตเป็นนักฟุตบอลที่ดี เป็นนักฟุตบอลที่มีวินัย ทำให้เขามีอาชีพที่เลี้ยงดูครอบครัวได้
สุดท้ายแฟนฟุตบอลชาวไทยจะจดจำชื่อของ ฮิโรโนริ ซารูตะ ในฐานะ “หนึ่งในที่สุดของแข้งซามูไรไทยลีก” ได้อย่างแน่นอน