เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ฟุตบอลไทย

FIVE SWEET SPOTS: 5 ประเด็นน่าสนใจหลังเกมปราสาทสายฟ้าพ่ายเจจูคารัง

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตัวแทนจากไทย ชวดโอกาสคว้าสามแต้มในศึก ACL เมื่อโดนเจจู ยูไนเต็ด บุกมาเอาชนะถึงรังด้วยสกอร์ 2-0  จากการพังประตูตคั้งแต่ต้นเกมของ อี ชาง มิน ก่อนที่ มักโน ครูซ จะมายิงจุดโทษบวกสกอร์ให้ทีมเยือนจากเกาหลีบุกมาเอาชนะ ปราสาทสายฟ้า และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าสนใจหลังเกมนี้

 

กด NEXT เพื่อร่วมติดตามไปกับเราได้เลย

รอคอยชัยชนะในบ้านต่อไป

ชัยชนะใน เอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีกในการเล่นเป็นเจ้าบ้านของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เกมสุดท้ายต้องย้อนไปถึงวันที่ 6 พฤษภาคมในปี 2015 ที่พวกเขาเปิดบ้านถล่มเอาชนะ กว่างโจว อาร์ แอนด์ เอฟ ไปด้วยสกอร์ 5-0 นั้นคือเกมสุดท้ายที่พวกเขาได้เฮต่อหน้าแฟนบอลของตัวเองในบ้าน หลังจากนั้นอีก 3 เกมในบ้านในปี 2016 พวกเขาเก็บได้แค่ 1 แต้มจากการเสมอกับ ซานตง ลู่เหนิง ในเกมนี้พวกเขาหมายหมั้นปั้นมือว่าจะต้องคว้าสามแต้มมาครองได้ให้ แต่ว่าสุดท้ายกลายเป็น เจจู ยูไนเต็ด ที่ฉกฉวยโอกาสครั้งแรกในการทำประตูและยังมีจังหวะจบสกอร์ได้เฉียบขาดกว่า ทำให้บุกมาเอาชนะไปได้ในเกมนี้ด้วยสกอร์ 0-2 ทำให้บุรีรัมย์ต้องรอชัยชนะในบ้านของพวกเขาต่อไป จนกว่าจะถึงเกมกับ เซเรโซ โอซาก้า ในวันที่ 6 มีนาคม

คัมแบ็คไม่ง่าย

แม้ว่าจะมีสถิติว่า โบซิดาร์ บันโดวิช จะเป็นจอมคัมแบคที่สามารถพาทีมกลับมาได้หลายครั้ง แต่ไม่ใช่ในนัดนี้ที่พวกเขาเสียประตูให้คู่แข่งตั้งแต่ 2 นาทีแรก โดยที่ผ่านมา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีประสบการณ์การลงเล่นในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้วทั้งหมด 37 นัด แต่ว่ามีเพียงแต่นัดเดียวเท่านั้นที่สามารถคัมแบ็คกลับมาเป็นผู้ชนะหลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังได้นั้นคือการบุกไปเอาชนะ กว่างโจว อาร์แอนด์เอฟ จากไชนีสซูเปอร์ลีก ในปี 2015 เท่านั้น เพราะฉะนั้นการลงเล่นในรายการนี้การเสียประตูให้คู่แข่งไปก่อน อาจจะหมายถึงการที่จะต้องเดินออกจากสนามด้วยการไม่มีแต้มติดมือออกมาแม้แต่คะแนนเดียวก็เป็นได้ นี่คือสิ่งที่ ปราสาทสายฟ้าจะต้องแก้ไขหากว่าต้องการที่จะไปได้ไกลในถ้วยที่มีแต่สโมสรเขี้ยวลากดินรายการนี้

ขาดหัวตัวหลักเกมหน้า

เกมนี้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดต้องประสบปัญหาการขาดนักเตะตัวหลักในทีมอย่าง อันเดรส ตูเญซ ไปตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรกแต่ก็ดูเหมือนไม่เป็นปัญหาเท่าไรนักเพราะพวกเขาไม่ได้เสียประตูเพิ่ม และมีโอกาสที่จะกลับมาเล่นได้ในเกมหน้าหากไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ว่าในเกมต่อไปที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เซเรโซ โอซาก้า ทีมแกร่งจากเจลีก พวกเขาจะหมดสิทธิ์ใช้งานกองหน้าตัวเก่งที่สุดของทีมในชั่วโมงนี้อย่าง ดิโอโก หลุยส์ซานโต ที่ไปพลาดท่าเสียใบเหลืองในเกมกับ เจจู ยูไนเต็ด ทำให้ถูกแบนโดยอัตโนมัติหมดสิทธิ์ลงสนามในเกมหน้า ซึ่งจะเป็นเกมสำคัญที่สุดอีกเกมหนึ่งในรอบแบ่งกลุ่มของตัวแทนจากไทย

 

 

ไร้ดาวยิงเลือดไทย

ในรายการเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก มีระบบโควตานักเตะต่างชาติที่เหมือนกับไทยลีกคือ 3+1 นั้นหมายความว่าผู้เล่นอีก 7 คนในสนามอย่างน้อยพวกเขาจะต้องเป็นคนชาติเดียวกับสโมสร เพื่อการพัฒนาลูกหนังในประเทศให้คนไทยประเทศได้รับโอกาสลงเล่น แต่ว่านักเตะไทยที่ยิงประตูให้กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้คนสุดท้ายจะต้องย้อนไปในเดือน เมษายน นั้นคือ ธีราทร บุญมาทัน อดีตนักเตะเก่าที่ยิงประตูใส่ กัมบะ โอซาก้า และหลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่เคยมีนักเตะไทยคนไหนที่ยิงประตูให้ทีมได้เลย แตกต่างจาก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดในฤดูกาลที่ผ่านมา ที่พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ เข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้เป็นครั้งแรก ส่วนหนึ่งมาจากนักเตะไทยสามารถยิงประตูให้ทีมได้ ไม่ว่าจะเป็น ธีรศิลป์ แดงดา หรือ ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน เป็นต้น

เกมหน้าชี้ชะตา

การออกไปเก็บแต้มแรกจาก กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์มาได้ในนัดแรกทำให้สถานการณ์ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก นั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิด จากการพ่ายแพ้ให้กับ เจจู ยูไนเต็ด ในเกมนี้ แต่ในเกมหน้ากับ เซเรโซ โอซาก้า รับรองว่าจะเป็นเกมสำคัญ เนื่องจากพวกเขาจะต้องเปิดบ้านพบกับ จ่าฝูงของกลุ่มในตอนนี้ที่มี 4 คะแนน ซึ่งหากว่า สามารถเอาชนะได้ ก็จะทำให้ช่องว่างกลับมาเท่ากันที่ 4 คะแนน แต่ว่าเกิดว่าไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ หรือย่ำแย่ถึงขั้นแพ้ พวกเขาจะมีแค่ 1 คะแนนจากการเล่น 3 นัดแรก และอีก 3 เกมที่เหลือจะเป็นเกมเยือนถึง 2 นัด ซึ่งเท่ากับว่าโอกาสที่จะผ่นาเข้ารอบแทบจะหมดหวังไปเลย