พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการใช้เทคโนโลยี “VAR” มาตัดสินในเกม “ออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปียนส์ คัพ” ที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์จากศึกโตโยต้า ไทยลีก พบกับ “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
ส.บอลไทยได้มีการนำเทคโนโลยี VAR มาช่วยในการตัดสินเกมลูกหนังไทยเป็นหนแรก โดยเริ่มจากการใช้ในเกมที่ปราสาทสายฟ้า แชมป์ไทยลีก 2017 ดวลกับ กว่างโซ้งมหาภัย แชมป์เอฟเอ คัพ
นอกจากนี้ บิ๊กอ๊อดยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า อาจจะนำระบบช่วยการตัดสินนี้ในเกมไทยลีกต่อไป เพราะเชื่อว่าจะเกิดความยุติธรรมในการแข่งขัน และเป็นที่ยอมรับ
“วันนี้เป็นครั้งแรกที่ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้นำเทคโนโลยี VAR มาใช้เป็นครั้งแรก” บิ๊กอ๊อดกล่าว
“จากที่ได้พูดคุยกับผู้ตัดสินที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์เหตุการณ์การแข่งขัน และคุณเบนจมิน ตัน ก็นั่งดูทุกเหตุการณ์ ซึ่งเป็น 50-50 แต่จากการที่เราใช้ VAR มาช่วยครั้งนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จ และทำให้การตัดสินในวันนี้เป็นการตัดสินที่ยุติธรรม และสามารถตอบคำถามได้ว่าทำไมลูกนั้น ลูกนี้ ฟาวล์หรือไม่ อย่างไร ก็ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ถ้าระบบนี้เป็นระบบที่ยอมรับจากสากล เราก็จะนำมาใช้ในฟุตบอลลีกต่างๆหรือถ้วยต่างๆต่อไปครับ”
“ผู้ตัดสินจะตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ เขาจะต้องได้รับการส่งสัญญานจากคนที่นั่งหน้าจอมอนิเตอร์ VAR เห็นได้ว่าผู้เล่นประท้วงว่าจะน่าฟาวล์ แต่ผู้ตัดสินได้ส่งสัญญานว่าไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากคนมอนิเตอร์ ซึ่งผู้ตัดสินที่อยู่หน้าจอจะเห็นชัดกว่าคนดูในสนาม เมื่อภาพช้าที่ผู้ตัดสินสองคนนั่งที่หน้าจอบอกว่าไม่ฟาวล์ เขาจะส่งสัญญาญไปบอกผู้ตัดสินในสนามว่าการตัดสินถูกต้องแล้ว”
“อย่างลูกสุดท้ายที่มีการฟาวล์ของผุ้เล่นบุรีรัมย์ แล้วผู้ตัดสินมาดูมอนิเตอร์ VAR เพราะว่าผู้ตัดสินข้างในส่งสัญญาณให้ดู ฉะนั้นการตัดสินจะสัมพันธ์กัน และการใช้เวลาตัดสินใจจะเร็วมาก ผมคิดว่าการนำระบบนี้จะช่วยการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินเป็นที่ยอมรับ เป็นที่เชื่อถือ และให้ความยุติธรรมในการแข่งขันได้จริงในอนาคต ก็ต้องดูต่อไป เราอาจจะนำมาทดลองใช้ในไทยลีกบางแมทช์ต่อไป”
สำหรับผลการแข่งขัน เป็นสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายดวลจุดโทษ เอาชนะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์รวม 8-7 คว้าแชมป์ออมสิน แชมเปียนส์คัพ 2018 มาครองได้สำเร็จ
