วันศุกร์ที่ 19 มกราคมนี้ ศึกออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ ที่เป็นแมตช์อย่างเป็นทางการก่อนที่ ฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ในปีนี้จะเป็นการดวลกันของ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์ โตโยต้า ไทย ลีก ลงสนามฟาดแข้งกับ “กว่างโช้ง” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เจ้าของถ้วยแชมป์ ช้าง เอฟเอ คัพ ในวันศุกร์ที่ 19 มกราคมนี้ ณ สนามศุภชลาศัย เวลา 19.00 น. นี่คือ 5 สิ่งที่น่าติดตามในเกมแห่งศักดิ์ศรีเกมนี้
กด NEXT เพื่อร่วมติดตามไปกับเราได้เลย
ส่องฟอร์มนักเตะใหม่
แน่นอนว่าเมื่อถึงฤดูกาลใหม่ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงนักเตะใหม่ๆ โดยฝั่งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปีนี้เน้นการดึงนักเตะเยาวชนอายุน้อยเข้ามาเพื่อสร้างอนาคตของทีม ส่วนนักเตะต่างชาติที่น่าสนใจก็คือ เอ็ดการ์ บรูโน ดา ซิลวา กองหน้าชาวแซมบ้าคนใหม่ที่เข้ามาแทน ดาวซัลโวอย่าง ชาดสัน ชาช่า โคเอลโญ ที่ย้ายไปอยู่กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด รวมไปถึง ฮอง วู แซมสัน กองหน้าจากเวียดนามที่จะเข้ามาเป็นโควตาอาเซียน
ส่วนทางฝั่งเชียงราย มีการเปลี่ยนแปลงนักเตะค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะโควตาต่างชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบยกชุดโดยได้ จอ โคโค มาในโควตาอาเซียนที่เพิ่งเปิด ผนึกกำลังกับ กิลแบร์โต มาเชนา, เคลตัน ซิลวา, วิกเตอร์ คาร์โดโซ และ อี ยอง แร ที่ลงโชว์ฝีเท้ากันไปบ้างแล้วในรายการปรีซีซั่น แต่ว่าเกมนี้การเจอกับของจริงแบบบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หลายอย่างน่าจะต่างออกไป ซึ่งฟุตบอล ไทยแลนด์แชมเปี้ยนส์คัพ จะเป็นรายการแรกที่แฟนบอลได้ยลโฉมแข้งใหม่ที่จะใช้สู้ศึกฤดูกาลนี้ของพวกเขา
การเจอกันของสองทีมศักยภาพลุ้นแชมป์
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ชื่อของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือทีมที่ถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ในทุกๆปี จากผลงานทีผ่านมา และโครงสร้างของทีมที่แข็งแกร่ง การันตีจากผลงานการคว้าแชมป์ไทยลีก 4 ครั้งจากทั้งหมด 5 ครั้งหลังสุด ใครก็คงไม่กล้าเถียงถึงศักยภาพของพวกเขาในการลุ้นแชมป์ไทยลีกในทุกๆปี ส่วนสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด หลังการเข้ามาของกลุ่มนายทุน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมให้กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ในฤดูกาลที่แล้วด้วยการทุ่มเงินดึงนักเตะฝีเท้าดีขึ้นมาร่วมทีม แม้ว่าในฤดูกาลที่แล้วพวกเขาจะได้เพียงอันดับที่ 4 แต่การคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ จนได้มาเล่นในรายการนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีของยอดทีมจากล้านนา และเมื่อทีมอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด อ่อนกำลังลงเพราะปล่อยขุนพลตัวหลักไปเล่นต่างแดนหมด ก็น่าจะถึงเวลาที่ กว่างโซ้งจะก้าวมาเป็นทีมท้าชิงแชมป์ไทยลีกอีกทีม และการเจอกันของสองทีมนี้ในรายการนี้ก็เหมือนกับการลิมลางก่อนที่จะต้องฟาดฟันกันทั้งฤดูกาลต่อไป
โควตาอาเซียน
ในปี 2018 ศึกโตโยต้า ไทยลีก มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกอย่างคือการเพิ่มโควตานักเตะในภูมิภาคอาเซียนเข้าไป เพื่อดึงดูดนักเตะฝีเท้าดีในอาเซียนให้เข้ามาเล่นในไทยลีก เพื่อคาดหวังให้ไทยลีกกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนบ้านที่อยากจะเห็นนักเตะชาติตัวเองลงเล่น ถือว่าเป็นนโยบายการตลาดอย่างหนึ่งของไทยลีก ซึ่งสองทีมที่จะลงแข่งขันกันในรายการ ไทยแลนด์แชมเปี้ยนส์คัพ ทั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เชียงราย ยูไนเต็ดนั้นต่างก็มีนักเตะ โควตาอาเซียนสังกัดในทีมทั้งคู่ โดยที่ปราสาทสายฟ้ามี ฮอง วู แซมสัน ยอดดาวยิงสัญชาติไนจีเรีย-เวียดนาม จากฮานอย ทีแอนด์ที เอฟซี อยู่ในทีม ส่วนทางด้าน เชียงราย ยูไนเต็ด ได้นักเตะจากบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง จอ โคโค ซูเปอร์สตาร์ของเมียนมามาร่วมทีมจนทำให้สโมสรต้องเปิดเพจภาษาเมียนมาเพื่อเอาใจแฟนๆโดยเฉพาะ ซึ่งการดวลกันของทั้งสองคนในรายการนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ว่าแข้งอาเซียนที่เพิ่มเข้ามปีแรกจะไปได้ดีขนาดไหนในไทยลีก
เคลตันรีเทิร์นไทยลีก
ในตลาดซื้อขายนักเตะรอบนี้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด สร้างความฮือฮาเมื่อจัดการดึงตัว เคลตัน ซิลวา กองหน้าชาวแซมบ้า มาจาก เซี่ยงไฮ เซินชิน ทีมในลีกรองของจีน ให้กลับมาค้าแข้งในไทยอีกครั้ง ซึ่งดาวยิงชาวแซมบ้ารายนี้คือเจ้าของตำแหน่ง ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลไทย การกลับมาค้าแข้งกับทีมอย่างเชียงราย ยูไนเต็ด ที่มีเป้าหมายคือการคว้าแชมป์ไทยลีกมาให้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ และเกมที่จะต้องพบกับ ทีมแกร่งอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถือว่าจะเป็นบททดสอบที่ดีของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และตัวของ เคลตัน ซิลวา ว่าการกลับมาเมืองไทยในครั้งนี้ ผลงานต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไร
แชมป์ประวัติศาสตร์ของทั้งสองสโมสร
ฟุตบอลออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ เพิ่งจะถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 หลังจาก จัดการแข่งขันแทนที่ของฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก. โดยที่ในครั้งที่ผ่านมา เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไปครองด้วยการเอาชนะ สุโขทัย เอฟซี แม้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเป็นเจ้าพ่อของฟุตบอลถ้วย ก เมื่อคว้าแชมป์ได้ 4 ครั้งหลังสุด แต่ในรายการนี้ หากได้แชมป์ ก็จะเป็นแชมป์สมัยแรกของสโมสร เช่นกันกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่เพิ่งจะคว้าโทรฟี่แรกของสโมสรได้สำเร็จ ในฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยการเอาชนะ แบงค็อก ยูไนเต็ด จนได้เข้ามาชิงชนะเลิศรายการนี้ ซึ่งหากพวกเขาเอาชนะบุรีรัมย์ ได้ นี่จะเป็นแชมป์ประวัติศาสร์สมัยแรกของพวกเขาเช่นกัน เพราะฉะนั้นจับตาวันศุกร์ที่ 19 มกราคมนี้ ที่ ศุภชลาศัยว่าใครจะคว้าถ้วยประวัติศาสตร์ใบนี้ไปครอง