เข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นเดือนสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ปี 2018 แน่นอนว่าหลายลีกในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนเอเชียตะวันออกเริ่มจะปิดฉากไปแล้ว และถ้าจะกล่าวถึงความสำเร็จของแต่ละสโมสรที่ทำไว้ในฤดูกาลที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเกิดจากความเฉียบคมในการผลิตสกอร์ของเหล่าแนวรุกในแต่ละทีมที่หลายคนก้าวขึ้นมาติดทำเนียบดาวยิงสูงสุดของแต่ละลีก และนี่คือดาวซัลโวลีกเอเชียโซนตะวันออกในฤดูกาลล่าสุดที่เพิ่งจบไป
กด Next หรือปัดหน้าจอไปทางขวาเพื่ออ่านหน้าต่อไป
15 ประตู - คีธ นาห์ | อิรวดี ยูไนเต็ด และ คริสโตเฟอร์ ชิโบซา | ฉาน ยูไนเต็ด (เมียนมา)
เริ่มกันที่ดาวยิงสัญชาติเดียวกับจอร์จ เวอาห์ (ไลบีเรีย) ผู้ที่ย้ายมาอยู่กับอิรวดี ยูไนเต็ด สำหรับการสู้ศึกฤดูกาล 2017 ตั้งแต่ปลายปีก่อน ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยเล่นในลีกเมียนมากับทั้งยาดาร์นาบอน รวมถึงฉิ่น ยูไนเต็ดมาก่อน รวมถึงโอกาสไปค้าแข้งกับเคดาห์ ในมาเลเซีย มีส่วนสำคัญที่ส่งผลให้คีธ นาห์แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรกับอิรวดี ยูไนเต็ดเลย นำมาสู่การเรียกฟอร์มเก่งทำไปถึง 15 ประตูจาก 22 เกม ส่งต้นสังกัดจบอันดับ 5 ของตาราง
ในขณะที่ คริสโตเฟอร์ ชิโบซา ที่เคยผ่านดีกรีค้าแข้งในลีกอินเดียทั้งในระดับลีกรองและลีกสูงสุดมากถึง 6 สโมสร รวมถึงสโมสรอิรวดี ยูไนเต็ด เมื่อปีที่แล้ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฉาน ยูไนเต็ดชุดสร้างประวัติศาสตร์ซิวแชมป์ลีกเมียนมา แนชันแนลลีก หนแรกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งเพียงฤดูกาลแรกภายใต้ยูนิฟอร์มทัพฉาน วอริเออร์ส หัวหอกชาวไนจีเรียระเบิดฟอร์มสุดยอดกดคนเดียว 15 ประตู จากผลงานลงเตะ 22 นัด พาฉานเก็บ 54 คะแนน อีกทัั้งยังเป็นผู้ทำประตูชัยในเกมนัดชิงฟุตบอลถ้วยอย่างรายการ “General Aung San Shield 2017” เหนือย่างกุ้ง ยูไนเต็ด 2-1 มาแล้ว
17 ประตู - เหงียน อันห์ ดุ๊ค | บินห์ เดือง (เวียดนาม)
เป็นปกติที่แต่ละชาติในอาเซียนมักใช้งานนักเตะต่างชาติในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และแข้งนอกเหล่านี้มักจะมีชื่อติดท็อปดาวซัลโวประจำลีกอยู่เสมอ ทว่ากับเวทีวีลีก ประตูฤดูกาล 2017 นี้ กลับเป็นชื่อของอดีตดาวยิงทีมชาติเวียดนามวัย 32 ปี ที่ปาดหน้าดาวยิงต่างชาติขึ้นรั้งดาวซัลโวที่จำนวน 17 ประตู ในการลงสนามให้บินห์ เดือง สโมสรที่เขาอยู่ค้าแข้งมาตั้งแต่ปี 2006 อย่างไรก็ตาม แม้จะฟอร์มคมฝักผลิตสกอร์ให้ทีมมากมาย แต่สุดท้ายต้นสังกัดของหอกจอมเก๋ากลับจบอันดับในตารางแค่ที่ 11 จาก 14 ทีมเท่านั้น
22 ประตู - โจนาธาน | ซูวอน บลูวิงส์ (เกาหลีใต้)
หัวหอกวัย 27 กะรัตกลับมาค้าแข้งบนผืนแผ่นดินกิมจิอีกครั้ง หลังจากที่เคยฝากผลงานกับแดกู เอฟซี เมื่อปี 2014 และ 2015 ซึ่งกับโอกาสร่วมสโมสรที่ใหญ่กว่าเดิม โจนาธานแทบไร้ปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมทีม หลังระเบิดฟอร์มซัดคนเดียว 22 ประตูจากการลงสนาม 29 เกม มากกว่าปีก่อนที่ยิงได้เพียง 10 ลูก พร้อมพาซูวอนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ช่วยทีมคว้าสิทธิ์ลงเตะเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า และเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันของสโมสร
23 ประตู - คาร์ลอส เลโอเนล | เบนฟิก้า มาเก๊า (มาเก๊า), โมฮัมเหม็ด กัดดาร์ | กลันตัน เอฟเอ, ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม และ ยู โคบายาชิ | คาวาซากิ ฟรอนทาเล ฟรอนทาเล (ญี่ปุ่น)
เริ่มที่คาร์ลอส เลโอเนล กองหน้าสัญชาติโปรตุเกสที่เคยมีประสบการณีค้าแข้งในลีกบ้านเกิดกับทีมในลีกสูงสุดและลีกรองมากถึง 8 สโมสร ตัดสินใจเก็บกระเป๋ามาเล่นในต่างแดนเป็นหนแรกบนผืนแผ่นดินมาเก๊าตั้งแต่ปี 2015 กับสโมสรเบนฟิก้า มาเก๊า ซึ่งเป็นทีมพันธมิตรกับยักษ์ใหญ่ในแดนฝอยทองมาจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน และในปี 2017 นี้ เขาพาทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยที่ 4 และถือเป็นแชมป์ลีกหนที่สามของตนเองเข้าไปแล้ว ทอีกทั้งในฤดูกาลนี้ ดาวยิงวัย 30 ปียังขึ้นแท่นเป็นดาวซัลโวสูงสุดประจำลีกที่ 23 ประตูอีกด้วย
ขยับมาที่ กองหน้ามากประสบการณ์วัย 33 ปี ที่ปีนี้อยู่ค้าแข้งในลีกแดนเสือเหลืองกับ 2 สโมสร แบ่งเป็นกลันตัน สโมสรที่เขาเคยค้าแข้งด้วยมาแล้วถึง 2 ครั้ง เมื่อปี 2012 และ 2014 โดยในช่วงเลกแรกของฤดูกาล 2017 รวมถึงยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ในเลกสอง ซึ่งตลอดซีซันที่เพิ่งจบไปนี้ กองหน้าทีมชาติเลบานอนระเบิดฟอร์มซัดประตูรวมถึง 23 ลูก แบ่งเป็นการทำ 18 ประตูจาก 11 นัดกลับกลันตัน และอีก 5 ประตู จากการลงเล่น 9 นัดให้กับเสือร้ายแห่งแหลมมลายู พร้อมช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกไปครองในฤดูกาลนี้อีกสมัย
ส่วน ยู โคบายาชิ ที่ล่าสุดเพิ่งช่วยต้นสังกัดอย่างฟรอนทาเล ปาดหน้าคาชิมา อันท์เลอร์ส ผงาดคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในประวัติศาสตร์สโมสร หลังจากต้องรอคอยมานานกว่า 62 ปีได้สำเร็จ โดยผลงานส่วนตัวตลอดฤดูกาล 2017 เขาเป็นทั้งกัปตันทีมในสนาม และเป็นขวัญใจของแฟนบอลจากผลงานลงสนามในเกมเจ1ลีก ครบทุกนัด มีสถิติทำ 23 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ และหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจไม่มีวันลีืมคงจะเป็นเกมสุดท้ายที่ยูสวมบทฮีโรซัดแฮตทริคชนะโอมิยะ อาดิจา 5-0 พาทีมซิวแชมป์ลีกนั่นเอง
26 ประตู - ซึบาสะ ซาโนะ | อัลบิเร็กซ์ นีงาตะ (สิงคโปร์)
แนวรุกชาวญี่ปุ่นเริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งอาชีพหนแรกได้อย่างแจ่มจรัส หลังลงเล่นให้กับอัลบิเร็กซ์ นีงาตะ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นทีมเครือข่ายของทีมจากเจลีก ญี่ปุ่น จากผลงานกระหน่ำไป 26 ประตู ผงาดดาวซัลโวประจำเวทีเอสลีก ทั้งยังเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญพานีงาตะคว้าแชมป์เอสลีก ประจำซีซัน 2017 และถือเป็นการคว้าแชมป์ลีกสมัยที่สองติดต่อกันอีกด้วย
27 ประตู - อีราน ซาฮาวี | กวางโจว อาร์แอนด์เอฟ (จีน)
อีกหนึ่งนักเตะต่างชาติที่ย้ายออกมาหาประสบการณ์บนผืนแผ่นดินเอเชีย และทำผลงานร้อนแรงจนเป็นที่น่าจดจำ ซึ่งสำหรับอดีตกองหน้ากัปตันทีมชาติอิสราเอลรายนี้ย้ายมาอยู่กับอาร์แอนด์เอฟเมื่อช่วงกลางฤดูกาล 2016 ก่อนจะเริ่มฉายแววเด่นซัด 11 ประตูจาก 15 เกม ส่งผลให้เขายังคงเป็นหนึ่งในแกนหลักในแนวรุกของทีมมาจนฤดูกาลล่าสุดที่เพิ่งจะจบไป และในปี 2017 นี้ แม้ต้นสังกัดจะไม่ได้ประสบความสำเร็จดั่งทีมร่วมทีมเมืองกวางโจว อย่างกวางโจว เอเวอร์แกรนด์ ที่ผงาดคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง ทว่าซาฮาวียังคงเป็นกองหน้าที่ไว้ใจได้ไม่เคยเปลี่ยน หลังผงาดคว้าดาวซัลโวประจำลีกแดนมังกรจากสถิติกด 27 ประตูจาก 30 นัด ช่วยทีมจบอันดับ 5 ของตาราง
37 ประตู - ซิลวาโน กอมฟาลิอุส | บาหลี ยูไนเต็ด (อินโดนีเซีย)
ว่าที่หอกป้ายแดงของสุพรรณบุรี เอฟซีเคยผ่านประสบการณ์ค้าแข้งมากถึง 12 สโมสรทั้งในระดับยุโรปและเอเชีย แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่เฉิดฉายเท่ากับการมาเล่นให้บาหลี ยูไนเต็ด เพราะตลอดสัญญา 1 ปีร่วมกับสโมสร กองหน้าเลือดดัตช์ระเบิดฟอร์มสุดยอดทำคนเดียว 37 ประตูจากการลงสนามในเกมลีก 23 นัด ผงาดรั้งดาวซัลโวประจำซูเปอร์ ลีกา อินโดนีเซียชนิดไร้คู่แข่ง (อันดับสองคือมาร์เคลย์ ซานโตส กองหน้าตัวใหม่ของชลบุรีทำได้แค่ 24 ประตู)
38 ประตู - ดราแกน บอสโควิช | แบงค็อก ยูไนเต็ด (ไทย)
ส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์เกมรุกอันแสนเฉียบคมของทัพแข้งเทพ ที่ปีนี้ยิงรวมไปถึง 97 ลูก เกิดจากขิงแก่จากมอนเตเนโกร ผู้ที่สามารถทำลายสถิติยิงมากสุดต่อหนึ่งฤดูกาล คว้าตำแหน่งดาวซัลโวลีกสูงสุดไปได้แบบไร้ข้อกังขาที่จำนวน 38 ประตู ทำลายสถิติเดิมของดิเอโก หลุยส์ ซานโต ที่เคยทำไว้ 33 ประตูเมื่อ 2 ปีก่อนแบบราบคาบ นอกจากนี้เขายังทำแอสซิสต์ให้เพื่อนไป 10 ครั้ง รวมไปถึงการทำแฮตทริคได้มากที่สุดในฤดูกาลนี้ถึง 6 ครั้ง จนพาทีมแบงค็อก ยูไนเต็ด จบอันดับตารางคะแนนในฐานะทีมอันดับ 3 แต่น่าเสียดายที่แข้งมอนเตรเนโกไม่อาจพาต้นสังกัดหยิบโทรฟีช้าง เอฟเอ คัพ ในเกมนัดชิงชนะเลิศได้ หลังพ่ายต่อเชียงราย ยูไนเต็ด 2-4