ฟุตบอลไทย ไทยลีก

BETTER THAN EVER: 10 แข้งไทยลีกเหมือนแจ้งใหม่เมื่อย้ายทีม

การโย้กย้ายทีมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาในฟุตบอลยุคใหม่ ที่มีเผตุผลทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่บางครั้งการย้ายทีมมีอะไรมากกว่านั้น บางครั้งนักเตะต้องการโอกาสที่มากกว่าเดิม ความท้าทายใหม่ๆ หรืออิ่มตัวกับสถานะเดิม การย้ายทีมจึงเป็นทางออก และมีนักเตะไม่น้อยที่ย้ายทีมออกไปแล้ว แสดงผลงานอันยอดเยี่ยมจนทีมเก่าต้องเสียดาย และนี่คือ 10 แข้งไทยลีกผลงานดีกว่าที่เคยเมื่อได้ย้ายทีม

 

กดลูกศรทางขวาเพื่อร่วมติดตามไปกับเรา

ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไป เชียงราย ยูไนเต็ด )

ทายาทของนักเตะทีมชาติไทยอย่าง ไพโรจน์ พ่วงจันทร์ ถือว่าเป็นนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตาคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย ต้ังแต่สมัยที่เล่นในทีมเยาวชนของ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และถูกปล่อยไปหาประสบการณ์กับ สุพรรณบุรี เอฟซี จากนั้นก็มีชื่อติดทีมชาติไทยตั้งแต่ชุดเยาวชน อายุไม่เกิน 19 ปี และขยับมาติดชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ไปคว้าแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์ ที่เมียนมา และสิงคโปร์

หลายคนคาดว่าเขาจะก้าวมาเป็นกำลังหลักของกิเลนผยอง ได้ในอีกไม่ช้า แต่ว่าโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักจนทำให้ต้องผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นอยู่นาน และเมื่อกลับมาสมบูรณ์ ดูเหมือนว่า ตำแหน่งในทีม เมืองทองสำหรับเขาจะไม่มี เพราะทีม ณ ขณะนั้นเต็มไปด้วยกองกลางระดับคุณภาพ บวกกับการถูกจับไปเล่นหลายตำแหน่งทั้งกองกลาง และแบ็กขวาทำให้เขาไม่สามารถที่จะรีดฟอร์มเก่งออกมาได้ สุดท้ายถูกปล่อยตัวไปให้กับ เชียงราย ยูไนเต็ด ในเลกที่ 2 ซึ่ง ตอนแรกผลงานยังไม่ถือว่าเปรี้ยงปร้างมากนัก

แต่ในฤดูกาล 2017 ที่เขาได้ปรีซีซั่นกับทีม และได้ร่วมงานกับ อเล็กซานเดร กามา นอกสนาม และธนบูรณ์ เกษารัตน์ ในสนาม ทำให้ ดาวเตะวัย 24 ปีฉายความโดดเด่นในตำแหน่งกองกลางตัวขับเคลื่อนเกม จนถูก มิโลวาน ราเยวัช เรียกไปติดทีมชาติไทย และกลายเป็นขุนพลคนสำคัญ ซึ่งในตอนนี้เขาพาเชียงราย ยูไนเต็ด สังกัดใหม่  ลุ้นแชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการ โดยในช้างเอฟเอคัพ เขาพากว่างโซ้งเอาชนะ สังกัดเก่าอย่างเมืองทอง ในรอบรองชนะเลิศ และจะพบกันอีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศโตโยต้า ลีกคัพ

พรรษา เหมวิบูลย์ (ขอนแก่น ยูไนเต็ด ไป บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)

ปราการหลังชาวจังหวัดจันทบุรี กลายเป็นกองหลังที่ไม่มีแฟนบอลคนไหนไม่รู้จักหลังยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติของ มิโลวาน ราเยวัช จากการเป็นตัวหลักของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เข้าใกล้การคว้าแชมป์โตโยต้าไทยลีกมาครอง

หากหมุนปฏิทิย้อนเวลาไป 1 ปีที่แล้ว แฟนบอลปราสาทสายฟ้าหลายคนคงสงสัยถึงการที่ ทีมตัดสินใจดึงตัว ปราการหลังร่างโย่ง เจ้าของส่วนสูง 190 เซนติเมตรคนนี้มาร่วมทัพ เพราะด้วยดีกรีที่เคยผ่านการเล่นกับทีมที่ขนาดไม่ใหญ่อย่าง จามจุรี ยูไนเต็ด, ทีโอที เอสซี และ ขอนแก่น ยูไนเต็ด ทีมในลีกรองที่ถูกระงับสิทธิ์กลางฤดูกาล

ในช่วงแรก พรรษา ถูกส่งลงสนามทันที และต้องเจอกับแรงกดดันที่มหาศาลในโปรเจคที่ปราสาทสายฟ้าต้องการทวงแชมป์คืน และยังปล่อย อันเดรส ตูเญซ ออกจากทีมกลับไปค้าแข้งในลีกรองสเปน ทำให้ภาระในแดนหลังค่อนข้างหนักหนา ยิ่งดาวเตะที่เซ็นมาใหม่อย่าง โซลวี่ ออตเตเซ่น ยังปรับตัวกับทีมไม่ได้ ซึ่งพรรษา คว้าโอกาสแรกได้ทันที และกลายเป็นตัวหลักของทีมนับตั้งแต่นั้น ตอนนี้เขาเข้าใกล้การคว้าแชมป์ไทยลีกสมัยแรกให้กับตัวเองเต็มทีแล้ว

 

วิชาญ นันทะศรี (พัทยา ยูไนเต็ด มาบีอีซี เทโรศาสน)

กองกลางวัย 31 ปีที่โลดแล่นในฟุตบอลไทยลีกมายาวนานกับ ทีโอที เอสซี และย้ายมาอยู่กับ บีอีซี เทโรศาสน จนกระทั่งไปอยู่กับ พัทยา ยูไนเต็ด แต่ก็แทบจะไม่มีสโมสรไหนที่เขาทำผลงานได้โดดเด่นเลย เพราะได้รับโอกาสลงสนามค่อนข้างน้อย ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง

แต่ในฤดูกาล 2017 ที่เขาย้ายจากพัทยาย ยูไนเต็ด กลับมาอยู่กับ บีอีซี เทโรศาสนอีกครั้ง เหมือนกับเป็นการกลับมาเกิดใหม่ของดาวเตะรายนี้ เมื่อสามารถระเบิดฟอร์มในสนาม ทำได้ถึง 9 ประตูจากตำแหน่งกองกลาง มากกว่า ทุกฤดูกาลที่ผ่านมารวมกัน จนทำให้ มีกระแสว่าอาจจะถูก มิโลวาน ราเยวัช เรียกไปติดทีมชาติ ไทยชุดใหญ่ แม้ว่า เขาจะยังไร้ชื่อ แต่ก็เดินหน้าทำผลงานที่น่าประทับใจต่อไป และพูดได้ว่านี่คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในอาชีพของเขา

ดราแกน บอสโควิช (สุพรรณ เอฟซี  ไป แบงค็อก ยูไนเต็ด)

ดาวเตะชาวมอนเตเนโกร กลายร่างเป็นปีศาจร้ายอย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ เมื่อทุบสถิติดาวซัลโว สูงสุดในหนึ่งฤดูกาลของ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กองหน้าของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ลงได้ และกำลังเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ของเขาตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ที่ 40 ประตู

แข้งวัย 31 ย้ายมาเล่นในไทยลีกครั้งแรกกับ สุพรรณบุรี เอฟซี และได้ร่วมงานกับมาโน่ โพลกิ้ง ก่อนที่จะเก็บข้าวของย้ายตามมาฟีเจอร์ริ่งกันอีกครั้งที่ แบงค็อก ยูไนเต็ด ด้วยปรัญชาการทำทีมเน้นฟุตบอลเอนเตอร์เทน และเกมรุกของ กุนซือชาวเยอรมันที่ไปเติบโตที่บราซิล ทำให้บรรดาแนวรุกของทีมหลายคนฉายแสง และโบเล่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นต้องบอกว่าฟอร์มของเขา ดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ย้ายจาก สุพรรณบุรี เอฟซี มาอยู่กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด และน่าติดตามว่า เขาจะไปได้ไกลเกินกว่าขีดจำกัดของตัวเองอีกไหมในฤดูกาลถัดไป

กรวิทย์ นามวิเศษ  (แบงค็อก ยูไนเต็ด ไป บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)

เจ้าของฉายา ซินเดอเรลล่าลูกหนังไทย แม้ว่าในฤดูกาลนี้ เขาจะได้รับโอกาสในการลงสนามน้อย นับตั้งแต่ที่เริ่มมีอาการป่วย จากประมาณช่วงกลางฤดูกาล 2016 จนทำให้ฟอร์มไม่เหมือนเดิม และเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การตัดสินใจย้ายออกจาก แบงค็อก ยูไนเต็ด มาร่วมทัพ  บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในปี 2015 คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในอาชีพนักเตะของเขา

แม้ว่าตอนที่อยู่กัทีมแข้งเทพ กรวิทย์ จะได้รับโอกาสลงสนามอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้โดดเด่น จนกระทั่ง ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมที่เห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา นอกจากจะมอบโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องแล้วปราสาทสายฟ้ายังมอบความมั่นใจ จนดูเหมือนดาวเตะรายนี้กลายเป็นคนละคน กับคนเก่า ด้วยสถิติการลงสนาม เคียงข้าง อันเดรส ตูเญซ ตลอดทั้งฤดูกาลจนทำให้ต้นสังกัดเป็นทีมที่โดนเจาะตาข่ายไปแค่ 24 ประตู น้อยที่สุดในลีก จนทำให้คว้าแชมป์มาครอง และจบฤดูกาลด้วยความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 5 รายการด้วยกัน

ฮิโรโนริ ซารูตะ  (ศรีราชา เอฟซี ไป บางกอกกล๊าส เอฟซี )

ปีกเลือดซามูไร ที่แฟนบอลชาวไทยคุ้นชื่อของเขาเป็นอย่างดี เมื่อค้าแข้งในไทยมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปีด้วยกัน บาเลสเตียร์ ทีมในศึกเอสลีกของสิงคโปร์ เข้ามาค้าแข้งในเมืองไทยช่วงปี 2009 กับ “เดอะบลูมาร์ลิน” ศรีราชา เอฟซี และสามารถโชว์ฟอร์มได้โดดเด่น แต่ว่าไม่สามารถที่จะช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้

ในตอนนั้นฝีเท้าของเขาดีเกินกว่าที่จะร่วงตกชั้นไปกับทีมได้ และทำให้หลายทีมยื่นข้อเสนอมาให้ และเป็น บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ได้ตัวเขาไปร่วมทีมสมใจ แม้ว่าในฤดูกาลแรกจะยังผลงานไม่โดเด่นมาก แต่เมื่อขาขวบปีที่สอง ในถิ่นสนามหญ้าเทียมลีโอ สเตเดี้ยม เขากลายเป็นผู้เล่นในแนวรุกที่โดดเด่นที่สุดของทีม ด้วยลีลาการกระชาลากเลื่อย และการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยมจนทำให้ จบฤดูกาลดังกล่าวเขากลายเป็นรองดาวซัลโว ต่อจากยอดดาวยิงทีมชาติไทย อย่าง ศรายุทธ ชัยคำดี ด้วยผลงาน 13 ประตู จากนั้นดาวเตะร่างเล็กก็ย้ายออกจากทีมไปอยู่กับการท่าเรือ ทิ้งผลงานการยิง 30 ประตูจากการลงเล่น 120 นัดให้แฟนบอลจดจำ ปัจจุบันเขายังค้าแข้งในไทยกับ อุดรธานี เอฟซี

พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล (บีอีซี เทโรศาสน ไป เชียงราย ยูไนเต็ด)

ผลผลิตของ เจเอ็มจี อะคาเดมี่ ไทยแลนด์ ที่สุดท้ายย้ายมาเป็นเด็กปั้นของ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แต่ด้วยสภาพทีม ที่เต็มไปด้วยกองกลางแวหน้าของเมืองไทย ทำให้เขาไม่สามารถที่จะเบียดตัวสอดแทรกขึ้นทีมชุดใหญ่ได้ ก่อนที่จะถูกส่งไปให้ บีอีซี เทโรศาสน ยืมตัวไปใช้งาน และสามารถทำผลงานได้น่าประทับใจ จนทำให้ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่กำลังทุ่มเม็ดเงินเพื่อสร้างทีมขึ้นมาดึงตัวไปร่วมทัพในต้นฤดูกาล 2017  

ในช่วงต้นเขายังไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามมากนัก เพราะมี ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ยึดตำแหน่งอยู่ แต่หลังากที่ ดาวเตะค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทยได้รับบาดเจ็บยาว ทำให้เขาก้าวมายึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้อย่างต่อเนื่องบวกกับการเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่พาทีมชาติไทยไปคว้าแชมป์ซีเกมส์ ที่ประเทศมาเลเซีย ยิ่งทำให้ความมั่นใจของเขาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขากำลังพาต้นสังกัดใหม่ ลุ้นแชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการ และโควตาไปเล่นในศึกเอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสาตร์ด้วย

จูเนียร์ เนเกรา (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด  ไป พัทยา ยูไนเต็ด)

กองหน้าชาวแซมบ้าย้ายจาก โอเอสเต ทีมในลีกแซมบ้า มาอยู่กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และได้รับโอกาสลงสนามทันทีในศึก เอเอฟซีแชมเปี้ยส์ลีกรอบเพลย์ออฟ และฟุตบอลถ้วย ก. แต่กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง ทำให้ กิเลนผยองที่ต้องการทวงคืนถ้วยแชมป์ต้องคิดไวทำไว และรีบจัดการส่งเขาไปอยู่กับ พัทยา ยูไนเต็ด ทันทีตั้งแต่ก่อนเริ่มเลก

ในตอนแรก ดาวยิงร่างใหญ่ดูเหมือนจะมีปัญหาในเรื่องฟอร์มการเล่น และสิ่งที่เจ้าตัวยอมรับคือสภาพความฟิตของเขายังไม่ถึงขั้นที่จะลงเล่นให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูเข็นลงสนาม ทำให้ เนเกรา ต้องเรียกความฟิตควบคู่ไปด้วย และเมื่อร่างกายของเขากลับมาสมบูรณ์ ฟอร์มอันยอดเยี่ยมก็กลับมาอีกครั้ง

ดาวเตะวัย 30 ปี ระเบิดฟอร์มซัดไป 20 ประตูให้ทีมโลมาฟ้าน้ำเงิน และกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลอย่างรวดเร็ว จากนัดจะที่ทุกคนยี้ แต่น่าเสียดายที่เส้นทางของเขา ไม่ได้ถูกวาดไว้ให้ไปต่อกับ พัทยา ยูไนเต็ด และเมื่อจบฤดูกาลเขาเลือกที่จะหาความท้าทายใหม่ๆในเคลีก เกาหลีใต้กับ แดกู ช่วงแรกหลายอย่างไม่ราบรื่นทั้งการปรับตัว และอาการบาดเจ็บหนัก แต่เมื่อร่างกายกลับมา 100 เปอร์เซ็น เขาแสดงให้เห็นว่าทีมสามารถฝากความหวังในการทำประตูไว้ที่เขาได้สบายๆ

พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไป พัทยา ยูไนเต็ด)

อีกหนึ่งลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นของฟุตบอลไทย บุตรชายของ ประภาส ฉ่ำรัศมี อดีตนักเตะทีมชาติไทย ที่เป็นนักเตะของทีมขาสั้นชื่อดังอย่าง เทพศิรินทร์ ก่อนได้รับโควตาให้เข้าศึกษาที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเริ่มต้นกับการค้าแข้งกับ จามจุรี ยูไนเต็ด ของสถาบันการศึกษาที่เขาร่ำเรียนอยู่ จนโชว์ฟอร์มไปเตะตา เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จนถูกดึงตัวไปร่วมทัพ แต่ก็ไม่สามารถที่จะสอดแทรกขึ้นไปอยู่กับทีมชุดใหญ่ได้ ทำให้โอกาสลงสนามน้อย

ในที่สุดเขาก็ถูกปล่อยตัวมาอยู่กับ พัทยา ยูไนเต็ด และเมื่อได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดาวเตะรายนี้ได้โอกาสปล่อยของออกมาอย่างต่อเนื่องในการยืมคุมเกมแดนกลางให้ทีมโลมาฟ้าน้ำเงิน ซึ่งฟอร์มโดดเด่นจนถึงขนาดถูก มิโลวาน ราเยวัช เรียกตัวไปติดทีมชาติไทย และในตอนนี้เขากลายเป็นสมบัติของพัทยา ยูไนเต็ด แบบเต็มตัวแล้ว

ปิยพล ผานิชกุล  (ชลบุรี เอฟซี  ไป เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด)

แบ็กขวาตัวเก่งของ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่เริ่มต้นเส้นทางลุกหนังอาชีพกับทีมโค้ก บางพระ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น พัทยา ยูไนเต็ด ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ และถูก ชลบุรี เอฟซี ดึงตัวเข้าสู่ทีม แต่ว่าเขาไม่สามารถที่จะเบียดแย่งตำแหน่งในทีมฉลามชลได้

 

จนกระทั่ง เมืองทอง ยูไนเต็ด สร้างเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการดึงตัวนักเตะจากทีมคู่ปรับให้ย้ายข้ามฝั่งจากสีฟ้านำ้เงินมาเป็นสีแดง ซึ่ง เฮนริเก คาลิสโต กุนซือหนวดหินของมอบโอกาสลงเล่นให้ ที่เอสซีจี สเตเดี้ยม ปิยพล กลายเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ ที่สามารถตอบโจทย์ในทุกตำแหน่ง ทำให้เขาถูกใช้งานอย่างหลากหลาย

แต่ว่าช่วงที่พีคที่สุดคือ ตอนที่ร่วมงานกับ สลาวิซ่า โยคาโนวิช กุนซือเลือดเซิร์บที่ปรับเปลี่ยนให้เขามาเล่นตำแหน่งแบ็กขวา จนกลายเป็นตัวหลักในทีมชุดไร้พ่าย และทำให้ ปิยพล ที่ตอนนั้นยังใช้นามสกุล บรรเทา ถูกวินฟรีด เชเฟอร์ เรียกไปติดทีมชาติ ชุดรองแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ถือว่าเป็นปีที่เขาโชว์ฟอร์มพุ่งแรกที่สุด และในตอนนี้ เขายังช่วยให้สังกัดปัจจุบันอย่าง เชียงราย ยูไนเต็ด ลุ้นแชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการ พ่วงด้วยโควตาไปเล่นในศึก เอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีก