ฟุตบอลไทย ไทยลีก

TRIBE TALK : เปิดใจ“จักรพันธ์” มิสเตอร์ไทยลีกกับประวัติศาสตร์หน้าใหม่

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แฟนบอลไทยทั้งประเทศต่างจับจ้องไปที่การแข่งขันสนามไอโมบาย สเตเดียม “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมนัดสำคัญที่จะพบกับ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน ซึ่งในแมตช์นี้ขอเพียงแค่บุรีรัมย์เก็บแต้มเดียวได้ก็จะสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปครองในปีนี้

และก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ บุรีรัมย์โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจากการทำประตูของชาคสัน โคเอลโญ, ดิโอโก้ ซานโต และสุเชาว์ นุชนุ่ม ทำให้ชนะไปด้วยสกอร์ 4-0 เก็บสามแต้มสำคัญ และคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับทำสถิติใหม่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดคือ 5 สมัย

นอกจากสถิติสโมสรแล้วนั้น ยังมีอีกคนที่สามารถทำได้ นั่นคือ “โน้ต” จักรพันธ์ แก้วพรม เป็นนักเตะหนึ่งเดียวในไทยลีกที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดนั่นคือ 6 สมัย เริ่มจากกับทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ปี 2010 และที่เหลือกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในปี 2011,2013,2014,2015 และล่าสุดปี 2017

วันนี้ จักรพันธ์ ได้พูดคุยถึงการทำสถิติคว้าแชมป์ลีกมากที่สุด รวมไปถึงเป้าหมายในปีหน้าและอนาคตกับบนเส้นทางลุกหนังต่อจากนี้ผ่านทางทีมงาน ฟุตบอลไทรบ์ ไทยแลนด์

กดลูกศรมุมขวาเพื่อติดตามอ่านต่อไป

“ส่วนตัวมันก็ไม่ได้พิเศษกว่าครั้งอื่นนะ” จักรพันธ์เริ่มเผยความรู้สึกหลังนั่งแท่นเป็นแข้งคว้าแชมป์ไทยลีกมากที่สุด

“ดีใจทุกครั้งที่สามารถคว้าแชมป์ให้กับทีมได้ เราไม่ได้ซีเรียสกับสถิติ แต่เป้าหมายหลักคือการคว้าแชมป์ให้กับทีมได้”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 โน้ตได้ตัดสินใจหอบสตั๊ดตามล่าหาความฝันมาอยู่กับบิ๊กทีมอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนั้น ถือว่าเป็นการเริ่มต้นความสำเร็จบนเวทีไทยลีกเลยก็ว่าได้ ทว่าหลังจากคว้าแชมป์ให้กับเมืองทองเสร็จ ก็ย้ายกลับมาอยู่ทีมบ้านเกิด และก็ยังช่วยกวาดแชมป์ได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน

“การคว้าแชมป์แรกกับตอนนี้เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ต่างกันมาก อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น แต่ตอนแรกที่ย้ายไปเมืองทอง เพราะเราต้องการอยากที่ประสบความสำเร็จ และก็ทำได้ในปีแรกที่ไปอยู่ ก็ดีใจที่ทำได้ตามเป้าหมาย”

“ส่วนปีต่อๆมาที่เราทำได้กับบุรีรัมย์ก็ดีใจที่ทำได้ทุกครั้ง และก็พร้อมที่จะล่าแชมป์ให้กับบุรีรัมย์ต่อไปอีกเรื่อยๆ”

ทว่าในปีนี้ถือว่าเป็นที่พิเศษอีกปีของเหล่าขุนพลปราสาทสายฟ้า หลังจากพลาดคว้าแชมป์ในปีก่อนนั้น ทำให้ฤดูกาลนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงโดยการดันแข้งบ้านเกิด รวมไปถึงดาวรุ่งที่ฟอร์มดีจากอะคาเดมีตัวเอง ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ ซึ่งก็ทำได้ดีมากกว่าที่คาดคิดไว้

“มันไม่ได้เป็นเชิงกดดันนะ มันเป็นแรงกระตุ้นมากกว่าว่าเราจะต้องทำให้ได้ ต้องบอกว่าช่วงแรกๆคนอื่นอาจจะประมาทว่าทีมเราไม่พร้อมหรือเปล่า เพราะดันเด็กขึ้นมาเล่นเยอะขึ้น รวมไปถึงตัวหลักๆในทีมเริ่มมีอายุมากขึ้น”

“แต่ถ้าถามในทีมเรา ก็มั่นใจตลอดว่ายังไงเราก็จะคว้าแชมป์มาได้ คิดว่ามันเป็นความมุ่งมั่นและความมั่นใจ และเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมทีมมากกว่าที่ทำให้ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์มาได้”

หลังจากร่วมงานยึดในตำแหน่งแดนกลางในทัพปราสาทสายฟ้ามาหลายปี ผ่านการร่วมงานกับนักเตะหลายๆคน ซึ่งคนที่เล่นได้เข้าขา และยกเป็นคู่หูแดนกลางที่ดีที่สุดนั้น โน้ตได้เผยว่า “จะถือว่าโอเคที่สุดก็ไม่ใช่นะ เพราะสไตล์การเล่นของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างโก (โก ซุล กี) ต้องเล่นอีกวิธีหนึ่ง กับพี่กบ (สุเชาว์ นุชนุ่ม) ก็อีกแบบหนึ่ง และก็เล่นกับเช็ค (สุภโชค สารชาติ), เกม (รัตนากร ใหม่คามิ) ก็อีกวิธีหนึ่ง ทุกคนมีจุดดีจุดด้อยต่างกัน ไม่สามารถบอกได้ว่าใครดีที่สุด”

การประสบความสำเร็จมามากมายในลีกไทย และด้วยอายุที่กำลังจะเข้าใกล้เลขสามแล้ว ในส่วนของอนาคตการค้าแข้ง นั้น เจ้าตัวเองเผยถ้ามีข้อเสนอที่ดีในต่างแดน ก็อาจจะลองพิจารณาดู แต่ถ้าถามถึงปัจจุบันก็ยังมีความสุขที่จะลงช่วยบุรีรัมย์ในการคว้าแชมป์ต่อเนื่องอีกเช่นกัน  ส่วนเรื่องการเรียนโค้ชนั้น ได้แย้มมาว่าปีหน้าอาจจะมีแพลนเริ่มเรียนโค้ชเพื่อต่อยอดเส้นทางลูกหนังหลังจากแขวนสตั๊ด

ส่วนเป้าหมายฤดูกาลหน้า ไทยลีกจะมีการปรับเปลี่ยนใหม่เอาทีมตกชั้นถึง 5 ทีม เพื่อให้ฤดูกาล 2019 จะมีทีมในลีกสูงสุดเพียงแค่ 16 ทีมนั้น ทำให้มีการแข่งขันที่ดุดันมากขึ้นแน่นอน ซึ่งจักรพันธ์ ยังคงตั้งเป้าไว้ว่าจะกวาดทุกแชมป์ในไทยให้ได้ รวมไปถึงการเข้ารอบลึกๆในเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะได้กลับมาแข่งอีกครั้งในรอบแบ่งกลุ่ม

“ปีนี้การต่อสู้และการแข่งขันค่อนข้างที่จะเข้มข้นขึ้นนะ อย่างเชียงรายที่พัฒนาขึ้นมาเร็วมาก  ส่วนแบงค็อก เขาก็ต่อเนื่องจากฤดูกาลที่แล้ว ปีหน้าก็น่าจะเข้มข้นกว่านี้ และด้วยจำนวนทีมตกชั้นที่มากขึ้น ทำให้การแข่งขันของทีมเล็กๆนั้นจะมีการขับเคี่ยวกันมากกว่านี้แน่นอน”

สุดท้ายห้องเครื่องวัย 29 ปี ได้ฝากข้อความถึงแฟนบอลว่า “ก็ขอบคุณแฟนบอลทุกคนที่ต่อสู้กันมา และให้กำลังมาตลอด ทั้งช่วงที่ดี และช่วงที่แย่ ยังหนุนหลังมาตลอด และก็ขอบคุณแฟนบอลไทยทุกคนที่ยังอยากเห็นผมกลับไปติดทีมชาติ”

ทั้งนี้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังเหลือโปรแกรมการแข่งขันอีก 2 นัด โดยในวันอาทิตย์นี้ 12 พฤศจิกายน จะพบกับแบงค็อก ยูไนเต็ด ที่สนามม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เวลา 18.00 น. และ แมตช์สุดท้ายของฤดูกาลจะออกไปเยือนชลบุรี เอฟซี ที่สนามชลบุรี สเตเดียม ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน เวลา 18.00 น.