ฟุตบอลไทย

ร้องไห้ตลอด! สิทธิโชค ร่ายยาวถึงชีวิตโดดเดี่ยวในแดนซามูไร

สิทธิโชค ภาโส กองหน้าดาวรุ่งที่ ชลบุรี เอฟซี ปล่อยให้ คาโงชิมา ยูไนเต็ด ทีมในเจลีก 3 ออกมาเปิดเผยความรู้สึกในการปรับตัวในแรกที่ต้องย้ายไปเล่นต่างแดนคนเดียวว่า

ดาวเตะวัย 18 ปี ย้ายไปเล่นกับ คาโงชิมา ยูไนเต็ด ที่ในเจลีก 3 ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงต้นปี และมีโอกาสได้ลงสนามช่วยทีมได้ ตอนนี้ถูกทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เรียกตัวกลับมาติดทีมชาติ ได้เปิดใจถึงการปรับตัวในการใช้ชีวิตคนเดียว อุปสรรคในการใช้ชีวิต และความรู้สึกเมื่อได้ลงสนาม รวมไปถึงคำแนะนำที่ได้รับการ วิทยา เลาหกุล ผู้อำนวยการอคาเดมี่ ที่มีประสบการณ์ในการไปเล่นในญี่ปุ่นมาก่อน

ผมจำได้เลยนะตอนไปวันแรก ผมร้องไห้เลย มันอยู่ไม่ได้ อากาศก็หนาว หนาวขนาดที่ว่าขาชา เตะบอลก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ช่วงนั้นหิมะตก หวัดก็กิน ปวดหัว อยู่ยากมาก แต่หลังจากช่วงเดือนมีนาคมผมก็เริ่มปรับตัวได้

ช่วงแรกผมคิดเลยว่าผมอยู่ไม่ได้ เพราะผมไม่เคยไปอยู่คนเดียวมาก่อน วันแรกที่ไปถึงผมนั่งน้ำตาซึมตลอด กินข้าวก็ไม่ลง ไม่มีอารมณ์อยากกินแม้แต่น้อย ตอนนั้นผมเดินทางไปกับโค้ชเฮง (วิทยา เลาหกุล) ผมบอกโค้ชว่ามาอยู่พักเดียว เดี๋ยวก็ได้กลับผมอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก

พอบอกอย่างนั้นไป ผมโดนโค้ชเฮง ว่าเลย ว่ามาวันเดียวจะมาบอกได้ไงว่าอยู่ไม่ได้ ต้องอยู่ให้ได้ ผ่านมันไปให้ได้ ตอนผมร้องไห้ แกก็ถ่ายคลิปผม

ผมรู้สึกเลยว่าตอนนั้นผมร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต พอกลับสมัยที่ออกจากบ้านมาอยู่แคมป์ของอคาเดมี ชลบุรี เอฟซี ตอนนั้นร้องสี่วันติด แต่อันนี้คือพอผมว่างปุ๊บก็ร้อง ถ้าไปซ้อมก็จะไม่ร้อง

และยังได้กล่าวถึงคำแนะนำจากโค้ชเฮงวิทยา เลาหกุลว่า

โค้ชเฮงพูดกรอกหูผมเสมอ จะกลับก็กลับได้นะ แค่หกชั่วโมงเองจากญี่ปุ่นมาไทย แต่อย่าหวังนะว่าชีวิตจะมีโอกาสแบบนี้อีก มันเปลี่ยนไปหมดเลย

จนผมต้องไปเข้าแคมป์ ผมก็ต้องมองหาโค้ชเฮงตลอด พอเห็นโค้ชก็สบายใจ เพราะผมกลัวโค้ชทิ้งกลับไทย และอยู่มาวันหนึ่งโค้ชก็ไปโดยไม่บอก ผมก็พยายามโทรหาโค้ชเฮงตลอด โค้ชก็บอกผมว่าอยู่ให้มันได้ อยู่ให้รอดไปก่อน ตอนแรกก็แบบนี้ เดี๋ยวก็ผ่านไปได้

โค้ชกรอกหูผมตลอดเลยว่า หกชั่วโมงเปลี่ยนชีวิตผมได้เลยนะ

มันทรมานจริงๆนะ ผมอยู่ที่ไทย ผมพูดคุยกับเพื่อนตลอด แต่อยู่ที่ญี่ปุ่น ผมพูดคุยอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นคนเงียบๆ เพราะพูดก็ไม่รู้เรื่อง ฟังก็ไม่รู้เรื่อง พวกเพื่อนร่วมทีมก็พยายามเข้าหา แต่มันสื่อสารไม่ได้จริงๆ ผมก็พยายามใช้ภาษามือและเอาโทรศัพท์มาแปล

พอเริ่มเล่นใน J3 ผมก็เริ่มปรับตัวได้บ้าง โดยเฉพาะเกมแรก เกมนั้นผมไม่ได้ลงสนามนะ แต่จังหวะที่เดินออกจากสนามมา ผมเห็นธงชาติไทยติดตรงรั้วของสนาม ตอนนั้นผมประทับใจ ดีใจจนน้ำตาไหล ผมไม่คิดว่าจะมีธงชาติไทยมาติดอยู่ที่ขอบสนามและมีชื่อผมแบบนี้

ผมประทับใจมาก เพราะเขาไม่ใช่คนไทย เป็นคนญี่ปุ่นที่รวมเงินกันและทำป้ายนี้ขึ้นมา เพื่อให้ผมสู้ต่อ มันทำให้ผมมีกำลังใจมาก

และตอนนั้น และห์ (กฤษดา กาแมน) ก็เดินทางมาทดสอบฝีเท้าเหมือนกัน ผมก็เลยสบายใจได้คุยกับเพื่อน

และทิ้งท้ายด้วยการเปิดเผยความรู้สึกที่ได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้งเพื่อลงเล่นให้ทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี

การกลับมาที่ไทยครั้งนี้ เหมือนเป็นการเติมพลังใจ มีกำลังใจไปสู้ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคิดว่าตอนนี้ผมพร้อมที่จะเอาแรงจากประเทศไทยที่มีร้อยเปอร์เซ็นต์ไปสู้ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

ผมเองก็มีแอบคิดว่าจะหนีกลับไทยอยู่เหมือนกันก่อนหน้านี้ แต่คิดไปคิดมา จะหนีไปที่ไหนได้ ตอนนี้มันก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว มองกลับไปก็เร็วเหมือนกัน ผมจำไม่ได้เลยว่าแต่ละวันเป็นยังไง

ผมเองก็เริ่มสนุกกับการค้าแข้งในต่างประเทศนะ แต่มันก็อยู่ที่ความคิดและตัวผมว่าโตขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ผมรู้ว่าผมยังเหมือนเด็กที่ยังไม่โต ยังงอแง ทำตัวเป็นเด็ก ผมรู้นะแต่แก้ไม่ได้

การเล่นให้กับทีมชาติไทย U23 มันก็ยากนะ เพราะว่าต้องเจอรุ่นพี่ รวมถึงโค้ชที่ให้โอกาสดึงเด็กอย่างผมไปติดทีมข้ามรุ่น แต่แน่นอนในการซ้อมและการแข่งขันผมทำเต็มที่เสมอ

สำหรับทีมชาติไทย ต่อให้ไกลแค่ไหนผมก็อยากเล่นไม่สนว่าจะเป็นชุดอะไร จะ U19 หรือ U23 ผมก็พร้อมเล่นเต็มที่ ถ้าเขาเรียกผมก็พร้อมและจะนำเอาประสบการณ์จากญี่ปุ่นมาช่วยทีมชาติไทย ผมได้ประสบการณ์มากมายทั้งในและนอกสนาม ทั้งการรับมือกับความกดดัน, ความตรงต่อเวลาระเบียบวินัยต่างๆ ผมจะช่วยทีมให้ได้มากที่สุดครับ